
ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ หลายประเทศได้ออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยหนึ่งในมาตรการที่สำคัญคือ Carbon Tax หรือภาษีคาร์บอน ซึ่งเป็นเครื่องมือทางภาษีที่มุ่งเน้นให้ผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยประเทศไทยได้มีการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ. Climate Change) ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในปลายปี พ.ศ. 2568 กำหนดให้กรมสรรพสามิตไทยเตรียมใช้ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งหวังให้ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM ย่อมาจาก ‘Carbon Border Adjustment Mechanism’ หรือ ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน’ ซึ่งเป็นมาตรการที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดขึ้นเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป ‘ผ่านการใช้มาตรการด้านคาร์บอน’ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (Carbon Intensive Products)
เพื่อให้เข้าใจถึงภาพรวมของกลไกด้านคาร์บอนเครดิตอย่างครอบคลุม บทความนี้จะอธิบายความเชื่อมโยงระหว่าง Carbon Tax, Life Cycle Assessment (LCA), Carbon Footprint และ Carbon Credit ตลอดจนแนวทางที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนและลดภาระต้นทุนภาษีคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ
*Carbon Tax คืออะไร ?
Carbon Tax หรือภาษีคาร์บอน คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น หลักการของภาษีคาร์บอนคือ “ใครปล่อยมากต้องจ่ายมาก” ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ธุรกิจปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

*Life Cycle Assessment (LCA) กับ Carbon Tax
Life Cycle Assessment (LCA) เป็นแนวทางที่ช่วยวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมตลอดวงจรชีวิต เพื่อช่วยองค์กรลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัดหรือรีไซเคิล โดยมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Carbon Tax ดังนี้:
1) ช่วยระบุจุดที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด – ธุรกิจสามารถใช้ LCA เพื่อวิเคราะห์ว่าขั้นตอนใดของกระบวนการผลิตก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนมากที่สุด และหาวิธีลดการปล่อยเพื่อลดภาระภาษีคาร์บอน
2) ประเมินทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – LCA ช่วยเปรียบเทียบวัตถุดิบหรือกระบวนการผลิตที่ต่างกัน เพื่อเลือกใช้ทางเลือกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง
3) วางกลยุทธ์การลดต้นทุนภาษีคาร์บอน – ข้อมูลจาก LCA สามารถนำมาใช้วางแผนเพื่อลดต้นทุนด้านภาษีผ่านการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนหรือการปรับปรุงกระบวนการผลิต
*Carbon Footprint กับ Carbon Tax
Carbon Tax เป็นภาษีที่คำนวณจากปริมาณ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาตลอดวงจรชีวิตของสินค้าและบริการ ยิ่งองค์กรสามารถลด Carbon Footprint ได้มากเท่าใด ภาระภาษีคาร์บอนก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้นองค์กรที่มีการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดต้นทุนภาษีได้ ตัวอย่างเช่น:
– โรงงาน A ปล่อย CO2 = 100,000 ตัน/ปี ถูกเก็บภาษีที่อัตรา 10 ดอลลาร์/ตัน ต้องจ่ายภาษี 1,000,000 ดอลลาร์
– โรงงาน B ลงทุนเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน ลด CO2 เหลือ 50,000 ตัน/ปี ต้องจ่ายภาษีเพียง 500,000 ดอลลาร์
*Carbon Tax จึงกระตุ้นให้ธุรกิจลด Carbon Footprint เพื่อลดต้นทุนภาษี
ตัวอย่างการใช้ Carbon Tax, LCA และ Carbon Footprint ในธุรกิจ
1) อุตสาหกรรมพลังงาน: บริษัทที่ใช้พลังงานฟอสซิลสามารถใช้ LCA เพื่อวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือลมจะช่วยลดภาระ Carbon Tax ได้อย่างไร
2) อุตสาหกรรมการบิน: สายการบินสามารถคำนวณ Carbon Footprint ของเที่ยวบินแต่ละเส้นทางและใช้ Carbon Credit เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน
3) อุตสาหกรรมอาหารและเกษตร: ผู้ผลิตอาหารสามารถลด Carbon Footprint โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำหรือใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
*Carbon Credit กับ Carbon Tax
Carbon Credit เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยธุรกิจลดภาระจาก Carbon Tax โดย Carbon Credit เป็นหน่วยที่ใช้แทนการลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจก 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งองค์กรสามารถใช้ Carbon Credit ในการชดเชย (Offset) การปล่อยคาร์บอนของตนเองเพื่อลดภาษีคาร์บอน หรือใช้เป็นกลไกซื้อขายในตลาดคาร์บอน (Carbon Market)
ตัวอย่างแนวทางที่ธุรกิจสามารถใช้ Carbon Credit เพื่อลด Carbon Tax:
– ลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรง ใช้พลังงานสะอาด ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดภาษี
– พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน ขอรับรองเป็น Carbon Credit และใช้ลดภาษีคาร์บอน
– ซื้อ Carbon Credit มาชดเชย ใช้ Carbon Offset แทนการเสียภาษี
*ข้อสรุป
Carbon Tax และ LCA เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบริหารจัดการต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้เร็วและนำกลยุทธ์การลด Carbon Footprint มาใช้จะได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนภาษีและเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว
สำหรับองค์กรที่ต้องการเตรียมตัวรับมือกับ Carbon Tax ควรเริ่มต้นด้วย การคำนวณ Carbon Footprint, ใช้ LCA เป็นแนวทางลดคาร์บอน และพิจารณาการใช้ Carbon Credit เพื่อชดเชย ซึ่งจะช่วยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกและปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, Governance) และ BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 มี.ค. 68)
Tags: ESG, SCOOP, คาร์บอนเครดิต, ภาษีคาร์บอน