
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) ส่วนดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปรับตัวลงเช่นกัน โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,239.50 จุด ลดลง 193.62 จุด หรือ -0.45%,
- ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,861.57 จุด ลดลง 94.49 จุด หรือ -1.59% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,544.42 จุด ลดลง 530.84 จุด หรือ -2.78%
อินวิเดียเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 4 ปีงบการเงิน 2568 ของบริษัท ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 73% ซึ่งลดลง 3% เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2569 จะลดลงสู่ระดับ 71% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 72.2%
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังได้ฉุดหุ้นอินวิเดียร่วงลง 8.5% และส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทลดลง 2.74 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การที่ผลประกอบการและแนวโน้มผลประกอบการของอินวิเดียไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนที่มีความคาดหวังสูง จึงทำให้ราคาหุ้นอินวิเดียร่วงลงเกือบ 20% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบรอดคอม (Broadcom) ร่วงลงกว่า 7% และหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) ดิ่งลง 5% ซึ่งได้ฉุดดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ร่วงลง 6.1%
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 22,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2567 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.3% ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร หลังจากปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ จากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตรา 25% นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าจะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตามกำหนดเดิมในวันที่ 4 มี.ค. และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.เช่นกัน
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 3.8% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลง 2.23% ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 0.57% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 0.48%
หุ้นเซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2569 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นวอร์นเนอร์ บราเธอส์ ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ากำไรจากธุรกิจสตรีมมิงจะพุ่งชึ้นเป็นสองเท่าในปีนี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 68)
Tags: dowjones, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก