รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ว่า กำลังดำเนินการยกเลิกสัญญาโครงการช่วยเหลือต่างประเทศขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) กว่า 90% คิดเป็นมูลค่าความช่วยเหลือประมาณ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก
เอกสารบันทึกภายในที่สำนักข่าวเอพีได้รับ และเอกสารที่ยื่นต่อศาลรัฐบาลกลาง ระบุว่า รัฐบาลทรัมป์จะยกเลิกสัญญาระยะเวลาหลายปีของ USAID จำนวน 5,800 สัญญา จากทั้งหมด 6,200 สัญญา มูลค่ารวม 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และยกเลิกทุนสนับสนุนของกระทรวงการต่างประเทศอีก 4,100 ทุน จากทั้งหมด 9,100 ทุน มูลค่ารวม 4.4 พันล้านดอลลาร์
การตัดงบครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้สั่งการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ให้มีการทบทวนโครงการช่วยเหลือต่างประเทศทีละโครงการเป็นเวลา 90 วัน และระงับเงินทุนช่วยเหลือต่างประเทศทั้งหมดในทันที ส่งผลให้โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ หลายพันโครงการในต่างประเทศต้องหยุดชะงัก
การดำเนินการครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เคยเชื่อมาหลายทศวรรษว่า ความช่วยเหลือต่างประเทศเป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศอื่น ๆ และช่วยสร้างพันธมิตรระหว่างประเทศ
ปธน.ทรัมป์และอีลอน มัสก์ ผู้ดูแลกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ต่างวิจารณ์โครงการ USAID ว่าเป็นการส่งเสริมวาระเสรีนิยมและเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ทีมงานของทั้งสองได้ปลดเจ้าหน้าที่ USAID ส่วนใหญ่ออกจากงานโดยการบังคับให้พักงานและเลิกจ้าง
กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้ตรวจสอบการยกเลิกสัญญาเหล่านี้แล้ว ขณะที่บันทึกของรัฐบาลระบุว่า การตัดงบครั้งนี้เป็นการตอบโต้คำสั่งศาลรัฐบาลกลางที่บังคับให้รัฐบาลต้องยกเลิกคำสั่งระงับเงินทุนช่วยเหลือต่างประเทศที่ทรัมป์ประกาศใช้มานานหนึ่งเดือน
องค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่งที่ยังไม่ได้รับเงินค้างจ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ กล่าวหาว่ารัฐบาลยกเลิกสัญญาจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงคำสั่งศาลที่ให้ยกเลิกการระงับเงินทุน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับคำเตือนซ้ำ ๆ จากผู้พิพากษา รัฐบาลทรัมป์เพิ่งยอมเริ่มจ่ายเงินบางส่วนให้ USAID แล้ว แต่เป็นเพียงเงินไม่กี่ล้านดอลลาร์จากยอดค้างชำระทั้งหมดที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.พ. 68)
Tags: USAID, โดนัลด์ ทรัมป์