DBS มองนโยบาย “ทรัมป์” เพิ่มความเสี่ยง trade war แนะลดน้ำหนักลงทุนหุ้นโลก ให้เป้าหุ้นไทย 1,440 จุด

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “สงครามการค้า…หายนะ หรือโอกาสพลิกชีวิต” ระบุตลาดหุ้นไทยในช่วง YTD ปีนี้ยัง “Underperform” ตลาดหุ้นโลก ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ DBS CIO ลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นโลกเป็น “Neutral” ยกเว้นตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคง “Overweight”

นโยบายทรัมป์ มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และทำให้ปริมาณการค้าโลกลดลง โดยคาดว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่ถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้า หรือเก็บในอัตราที่ต่ำกว่า ส่วนตลาดทุนและตลาดเงินจะผันผวนมากขึ้น

ส่วนผลดีต่อไทย จะเพิ่มโอกาสขยายตลาดส่งออกไปสหรัฐ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่า/หรือไม่ถูกเรียกเก็บ ขณะที่ผู้ประกอบการในสหรัฐอาจมองหาซับพลายเออร์จากไทยแทนจีน แคนาดา และเม็กซิโกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงน่าจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจีน

ทั้งนี้ไทยอาจได้รับผลกระทบทางลบ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลออาจฉุดส่งออกไทย สินค้าจากจีนมาตีตลาดไทย ผลกระทบการเมืองระหว่างประเทศจากการที่ไทยถูกกดดันให้เลือกข้าง และอาจถูกจับตามองจากสหรัฐ หากสินค้าจีนมาผลิตหรือประกอบที่ไทยแล้วส่งออกไปสหรัฐ

อย่างไรก็ตามมองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังมีปัจจัยกระตุ้นจาก มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่หนุนการบริโภค (โครงการ Easy E-Receipt, แจกเงินหมื่นบาท ฯลฯ) ภาคท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง ภาครัฐและภาคเอกชนลงทุนมากขึ้น รวมถึงการย้ายฐานการผลิตมาไทย (China+1) และการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับดิจิตอล

ส่วนปัจจัยเสี่ยง มาจากหนี้ภาคครัวเรือนยังคงสูงมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างจำกัดการเมืองในประเทศเข้ามากดดันเป็นระยะ ค่าเงินบาทผันผวน ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยอ่อนแอลง และไทยอาจเสียภาษีนำเข้าไปสหรัฐเพิ่มในบางสินค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีผลต่อราคาพลังงาน และภาคส่งออก รวมถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวนก็มีผลต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของบางอุตสาหกรรมตามโยบายของรัฐบาลและระเบียบของโลก การปรับโครงสร้างองค์กร ปรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจและการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาด เพื่อรองรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของโลก ยังผลให้ราคาหุ้นบางกลุ่มอุตสาหกรรม และราคาหุ้นเฉพาะตัวมีความผันผวนด้วย

นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวอีกว่า บล.ดีบีเอส คาดการณ์กำไรตลาดหุ้นไทยปี 2568 โต 11% จากฐานที่ต่ำในปี 2567 โดยให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,440 จุด มีอัพไซด์ 10% เมื่อเทียบจากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยให้ค่าพี/อีอยู่ที่ 16.3 เท่า ส่วนปี 2569 ให้เป้าหมายดัชนีที่ระดับ 1,540 จุด ทั้งนี้ Downside risk คือ กำไรตลาดหุ้นเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และความเสี่ยงในตลาดสูงเกินกว่าที่ประเมินไว้ทำให้ต้องลดเป้าหมาย P/E ลง

อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น 1-2 เดือนข้างหน้า มีปัจจัยสำคัญที่ติดตาม คือ การประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าและภาษีตอบโต้ของทรัมป์กับประเทศต่างๆ ในต้นเดือน เม.ย. 2568 ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและอัตราเงินเฟ้อหลังทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ส่วนปัจจัยที่ควรระวัง คือ ผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงปลายเดือนก.พ. และเดือนมี.ค. 2568 ซึ่งเหล่านี้อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนได้

สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ 4 ธีมการลงทุน และ 10 หุ้นเด่นสำหรับปี 2568 โดยธีมแรก เป็นอัตราดอกเบี้ยในประเทศลดช้า & การลงทุนฟื้นตัว ส่วนหุ้นเด่นเป็น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น BBL, KTB, TTB, KBANK ส่วนธีม 2 คือ ท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง & มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม หุ้นเด่นเป็น กลุ่มโรงแรมและอาหาร คือ MINT, ERW สำหรับธีม 3 ยก China+1 & New S-Curve หุ้นเด่นเป็น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คือ AMATA ส่วนธีมที่ 4 ดาต้าเซ็นเตอร์ & บริการคลาวด์ หุ้นเด่นเป็น กลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หุ้นเด่น ADVANC, GULF & INTUCH

ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองประเด็นเรื่องสงครามการค้าพึ่งชกกันหมัดแรก ยังต้องรอดูยก 2 ยก 3 ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ผ่านมาเริ่มชะลอตัว ส่วนด้านเงินเฟ้อทยอยเพิ่ม PCE ของสหรัฐล่าสุดสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งยังไม่ได้รับรู้ผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้า ส่วน Reciprocal tariff มีโอกาสเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อช่วงถัดไป เฟดมีโอกาสชะลอการลดดอกเบี้ยหรือหากแย่มากในระยะยาวอาจจะเป็นขึ้นดอกเบี้ยแทน

แนวโน้ม SET50 รอลุ้นหาจุดกลับตัว แต่ตอนนี้ยังแกว่งทางลง ซึ่งมีแนวรับหลักที่ 1225-1200 และ 1130 ที่ปกติจะมีช่วงดีดกลับมากพอควร รอลุ้นสัญญาณการเกิด Divergence หลัง RSI ทำจุดต่ำสุดที่ลึกมีลุ้นการเกิด แต่ RSI ต้องไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่

ทองคำ หากยืนเหนือ 2950 ได้ มีแนวต้านหลักถัดไป 2988/3040 ที่ต้องระมัดระวังการชะลอตัว การลงอย่าหลุด 2860-2850 หากลงหลุดต่ำกว่าจะกลับมาแกว่งตัวลง มีแรงซื้อจากความเสี่ยงทรัมป์ แต่ระยะกลาง-ยาว หากเฟดคุมเงินเฟ้อขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นความเสี่ยง

ค่าเงินบาท ที่บริเวณ 33.10-33 มีลุ้นเด้งสั้น ทิศทางหลักอิงทางแข็งค่าหลังดอลลาร์กลับไปอ่อน การขึ้นกำแพงภาษีตอนนี้ยังไม่มากเท่ากับตอนที่ทรัมป์หาเสียง ช่วยลดขาดดุลการค้าได้ไม่มากพอ การประชุมกนง. หากลดดอกเบี้ยบาทอาจอ่อนค่าสั้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.พ. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top