
ฝ่ายวิเคราะห์ บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) (CGSI) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 68 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อในไตรมาส 1/68 พบว่าสถาบันการเงินคาดการณ์ความต้องการสินเชื่อในไตรมาสแรกจะเพิ่มขึ้น qoq จากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และ SME โดยสินเชื่อภาคธุรกิจจะมาจากความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุน ขณะเดียวกัน พบว่าธนาคารมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรฐานการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจเล็กน้อย ผู้ให้บริการสินเชื่อมองว่าธุรกิจบางกลุ่มมีแนวโน้มสดใส และผู้ขอสินเชื่อน่าจะวางหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ
ความต้องการสินเชื่อรถยนต์ในไตรมาส 1/68 น่าจะเพิ่มขึ้น qoq เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จัดโปรโมชั่นมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินเชื่อว่าความต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้นตามการบริโภคส่วนบุคคล แต่ความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบัตรเครดิตจะทรงตัว qoq ดังนั้น การที่ความต้องการสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดการให้สินเชื่อของทั้งสองกลุ่มนี้ ขณะที่ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพราะตลาดอสังหาฯค่อนข้างซบเซา
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า แม้ราคารถมือสองจะปรับขึ้น 10.8% ตั้งแต่เดือนพ.ย. 67 แต่ธนาคารยังคงใช้เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่ระมัดระวังสำหรับสินเชื่อรถยนต์ และเลือกจะขยายพอร์ตสินเชื่อรถในกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปี 68 จะมาจากการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และธนาคารบางแห่งน่าจะเน้นสินเชื่อบ้านที่มีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) อยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังระมัดระวังกับการทำธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่า PPOP จะเติบโตลดลง -1.5%/+1.5%/+3.8% ในปี 68/69/70 ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่า ธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.4-9.1% ต่อปี และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 2-12% ในปี 68-70 แม้ว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีสินเชื่อเติบโตชะลอตัว นอกจากนี้ เชื่อว่าทั้ง SCB และ KTB สามารถบริหารจัดการเงินทุนได้ดีกว่าธนาคารอื่นที่ทำการศึกษา ซึ่งจะส่งผลให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นในปี 68-70
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 68)
Tags: หุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นไทย