
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย [KBANK] กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารชิซูโอกะ ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดชิซูโอกะและเมืองสำคัญต่างๆ รวมถึงโอซาก้า นาโกย่า และโตเกียว จึงได้ต่อยอดความร่วมมือระหว่างกัน
การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อขยายความร่วมมือในการยกระดับบริการทางการเงินระหว่างประเทศของธนาคาร ให้เป็นความร่วมมือแบบสองทาง (Two-way collaboration) ผ่านการผสานจุดแข็งของทั้งสองสถาบันการเงิน เพื่อครอบคลุมการทำงานที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและการลงทุน 2.การนำเสนอและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธุรกิจในยุคดิจิทัล 3.การแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างสองสถาบันเพื่อพัฒนาศักยภาพในการให้บริการ เพื่อให้ทั้งสองธนาคารมีความพร้อมที่จะส่งมอบบริการที่ตอบสนองความต้องการของพันธมิตรและภาคธุรกิจได้อย่างตรงจุด โดยมุ่งให้การสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นที่ต้องการขยายธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 และให้การสนับสนุนนักลงทุนจากภูมิภาค AEC+3 ที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน
นายพิพิธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยและธนาคารชิซูโอกะ ดำเนินมาตั้งแต่ปี 54 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นกว่า 100 แห่ง ในการจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย พร้อมให้บริการลูกค้าธุรกิจกว่า 200 ราย ครอบคลุม 7 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว จีน และฮ่องกง ที่ธนาคารกสิกรไทยมีสาขาอยู่ รวมถึงกรณีที่ลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยจากแต่ละประเทศที่ต้องการจะขยายการลงทุนหรือธุรกิจไปยังประเทศญี่ปุ่น ธนาคารกสิกรไทยเชื่อมั่นว่าการยกระดับความร่วมมือกับธนาคารชิซูโอกะครั้งนี้ จะตอบโจทย์การลงทุนและการค้าในอาเซียนที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดียิ่งขึ้น ร่วมขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทยในการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำแห่งภูมิภาค AEC+3
ธนาคารกสิกรไทยดำเนินยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น เพื่อการต่อยอดบริการรองรับการทำธุรกรรมและธุรกิจของลูกค้าในภูมิภาค AEC+3 โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สำคัญและมีมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยสูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยบริษัทญี่ปุ่นมักขยายการลงทุนเป็นลำดับขั้น โดยเริ่มจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามด้วยประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆในอาเซียน
นายมิโนรุ ยางิ ประธานผู้บริหาร ธนาคารชิซูโอกะ กล่าวว่า ญี่ปุ่นเผชิญกับความท้าทายทางสังคมหลายประการ รวมถึงประชากรที่ลดลงและสังคมผู้สูงอายุ และจังหวัดชิซูโอกะก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ภายใต้แผนการจัดการระยะกลางฉบับแรกของเรา ธนาคารชิซูโอกะมุ่งหวังที่จะสร้างสมดุลระหว่างการสร้างคุณค่าทางสังคม และการเพิ่มคุณค่าขององค์กร โดยการแก้ไขปัญหาที่สำคัญในภูมิภาคด้วยหัวข้อ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในบริบทนี้ เป็นที่ชัดเจนว่ามุมมองข้ามพรมแดนและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นมีความสำคัญ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของเราในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเราและให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ภูมิภาคและลูกค้าในทั้งญี่ปุ่นและไทย เรามั่นใจว่าด้วยการนำทางความซับซ้อนของการเงินโลกและการพัฒนาความร่วมมือของเรา เราสามารถเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับความสำเร็จ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 68)
Tags: KBANK, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารชิซูโอกะ, พิพิธ เอนกนิธิ