
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า บริษัทจะเดินหน้าสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามเป้าหมายเฉลี่ย 15-20% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง หลังจากปี 67 ทำได้ 18% ปัจจัยสนับสนุนหลักยังคงมาจากการดำเนินธุรกิจด้วยโมเดล Asset light และลดภาระหนี้สินลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีก่อนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือต่ำกว่า 1 เท่า มาอยู่ที่ 0.8 เท่า ตามเป้าหมาย ขณะที่ปีนี้วางแผนลดภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยให้ต่ำกว่า 4 เท่า จากปีก่อนที่ 4.3 เท่า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน
บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 68 จะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับสูง หรือตราว 6-8% ปัจจัยหนุนหลักยังคงมาจากธุรกิจโรงแรมที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวเติบโตดีต่อเนื่องในทุกภูมิภาคที่บริษัทมีเครือข่ายโรงแรมตั้งอยู่ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้อานิสงส์จากการถ่ายทำซีรีย์ The White Lotus ซีซั่น 3 โรงแรมในสมุย และภูเก็ต ของบริษัททั้ง 4 แห่งมีอัตราค่าห้องพัก (ADR) เพิ่มขึ้นสูงกว่า 40% ประกอบกับบริษัทยังมีแผนการเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีกราว 54 แห่งในปีนี้
ขณะที่บริษัทยังมองว่าจะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเศรษฐกิจของสหรัฐที่แข็งแกร่งด้วยเช่นกัน เพราะนักท่องเที่ยวจากสหรัฐออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น และใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้โรงแรมของบริษัทได้รับประโยชน์ และในอนาคตบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีโรงแรม NH Collection ในนิวยอร์กเพียงโรงแรมเดียว
สำหรับแผนการนำสินทรัพย์ของบริษัทจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ตามกลยุทธ์โมเดล Asset light ของบริษัทนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมและคัดเลือกสินทรัพย์ รวมทั้งเลือกประเทศที่เหมาะสมในการจัดตั้งว่าจะเป็นไทย หรือสิงคโปร์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนช่วงปลายปีนี้ ขนาดมูลค่ากองรีทราว 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนธุรกิจร้านอาหารจะหันมารุกการขยายเฟรนไชส์มากขึ้น โดยจะเน้นแบรนด์บอนชอน และกาก้า ที่ในปีนี้จะมีการขยายเฟรนไชส์ และยังคงเดินหน้าในการขยายสาขาต่อเนื่องเป็น 4,000 สาขาในปี 70 จากปีก่อน 2,700 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปี 68 ราว 1.1 หมื่นล้านบาท มาจากแผน 3 ปีที่จะลงทุนเฉลี่ยต่อปีที่ 1-1.2 หมื่นล้านบาท โดยที่เงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ปรับปรุงสินทรัพย์ของบริษัท
นายดีลิป กล่าวอีกว่า บริษัทมองว่าราคาหุ้น MINT ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และสวนทางกับผลการดำเนินงานทีดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดหวังให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนจะกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดทุนไทยมากขึ้น เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนการลงทุนให้มูลค่าหุ้น MINT สอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.พ. 68)
Tags: MINT, ดิลิป ราชากาเรีย, หุ้นไทย, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล