
บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] รายงานผลประกอบการดำเนินงานประจำปี 67 ด้วยยอดขายรวมกว่า 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวถึง 18.5% ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ตั้งเป้าไว้ที่ 23% ภายในปี 73 ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้นถึง 12.7% จากปีก่อน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจของ TU ในปี 67 เป็นปีที่สร้างผลงานได้ดีทั้งด้านยอดขาย และการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.5% เป็นผลจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป รวมถึงกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็ง ที่มีการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้มีอัตรากำไรดีขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัวได้ดีมากจากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มพรีเมียม และสถานการณ์ของสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 67 ไทยยูเนี่ยนได้เปิดตัว “กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73” โร้ดแม็ปใหม่เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล โดยมีสองโปรเจกต์ทรานฟอร์มเมชั่น ได้แก่ โปรเจกต์โซนาร์ (Project Sonar) ซึ่งเป็นโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโปรเจกต์เทลวินด์ (Project Tailwind) มุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายของโครงการทรานฟอร์มเมชั่น ที่มีนัยสำคัญ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าว กำไรสุทธิในปี 67 จะอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในปี 67 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 0.94 เท่า มีกระแสเงินสดสูงถึง 11,705 ล้านบาท จาก EBITDA ที่แข็งแกร่ง 13,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติการณ์ตลอดจนความสามารถในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ทำให้ไทยยูเนี่ยนมีความคล่องตัวและสามารถสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตได้
ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/67 พบว่า ยอดขายปรับตัวลดลงราว 1.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.1% อย่างไรก็ดีการเติบโตจากการดำเนินงานตามปกติยังคงเติบโตที่ 1.9% เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นยังคงขยายตัวอยู่ที่ 18.7% สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,213 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 18.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากค่าใช้จ่ายการดำเนินกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73 ซึ่งหากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายของโครงการทรานฟอร์มเมชั่น กำไรสุทธิ จะอยู่ที่ 1,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน

“แม้เราจะต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ ที่มีความไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ผู้บริโภคทั่วโลกใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง แต่ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของเรายังคงเติบโตได้ดี ทั้งกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัว และดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73 เพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2.45 แสนล้านบาท (US$7billion) และเพิ่ม EBITDA เป็นสองเท่าภายในปี 73” นายธีรพงศ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจของ TU ปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ของไทยยูเนี่ยนยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จากปริมาณความต้องการสินค้าต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่สร้างยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 68,412 ล้านบาท ขยายตัว 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากอัตราการเติบโตของยอดขายในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และตะวันออกกลาง ราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 19.1%
ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 17,389 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 15.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มพรีเมียม รวมถึง ปริมาณความต้องการสินค้าในตลาดยุโรปและจีนที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ปี 67 กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวสูงถึง 28.5%
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 42,226 ล้านบาท ลดลงราว 10.7% เนื่องจากยอดขายที่ลดลง แต่เมื่อพิจารณาอัตราส่วนกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งพบว่ามีการฟื้นตัว 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าการปรับโครงสร้างทางธุรกิจในสหรัฐอเมริกา สามารถสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้นต่อเนื่อง และสุดท้ายคือกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ สามารถทำยอดขายได้ 10,406 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สัดส่วนยอดขายของ TU ตามภูมิภาค มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คิดเป็นอัตรา 39.4% ของรายได้รวมทั้งหมด รองลงมาเป็น ยุโรป 30% ไทย 11% และ ภูมิภาคอื่นๆ อีก 19.6%
ในเดือน ธ.ค.67 บริษัทได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ครั้งที่ 4 ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท หรือจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.ถึง 30 มิ.ย.68 ณ วันที่ 14 ก.พ.68 บริษัทฯ มีจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 107 ล้านหุ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้ดีขึ้น
“ปี 68 ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทาย ทั้งผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐ และเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่าภายใต้กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73 เราจะก้าวพ้นกระแสแห่งความผันผวน เพื่อสร้างโอกาส สร้างรากฐานธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเลได้ในที่สุด” นายธีรพงศ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.พ. 68)
Tags: TU, ธีรพงศ์ จันศิริ, หุ้นไทย, ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป