นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงโครงการ Jump+ ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดระยะกลาง โดยจะมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เสนอยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างร่วมโครงการหากสามารถเติบโตได้ตามแผน รวมทั้งไม่เก็บภาษีย้อนหลังกับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมหรือซื้อกิจการกับบริษัทในโครงการ
ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวจะถูกเสนอต่อกระทรวงการคลังภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ โดยเริ่มดำเนินโครงการเดือน พ.ค. 68 และคัดเลือกบริษัทเข้าร่วมโครงการ 50 บริษัทในปีนี้
โดยข้อเสนอด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ในระหว่างแผนการเติบโต เพิ่มมูลค่าภายในระยะเวลา 3 ปีของบริษัท หากมีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรตามแผนที่วางไว้ จะขอยกเว้นภาษีสำหรับส่วนที่มีการเพิ่มขึ้นระหว่างร่วมโครงการ โดยเท่าที่หารือมาเบื้องต้นกับรมว.คลัง หากไม่กระทบกับสถานะทางทางการคลังลดลง กระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะพิจารณา
นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำ M&A หรือการควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยจะมีแนวทาง ยกเว้นการเก็บภาษีย้อนหลัง หรือ “นิรโทษกรรมภาษี” กรณีที่บริษัทที่เข้าร่วมโครงการเข้าไปร่วมลงทุนหรือซื้อกิจการกับบริษัทนอกตลาด โดยมองว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศได้ในระยะยาว เนื่องจากรัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีกับบริษัทที่ก่อนหน้านี้ไม่ถูกเก็บภาษี จากกรณีใดก็ตามได้ รวมทั้งหลังจบโครงการไปแล้วบริษัทมีการเติบโตของกำไรสูงขึ้น รัฐบาลก็จะสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นจากการเดิมที่ไม่ได้
ทั้งนี้การเข้าร่วมโครงการ Jump+ ต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai รวมทั้งไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB ,CS ,CC ,CF ไม่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน อยู่ไม่ระหว่างก.ล.ต. กล่าวโทษ และต้องไม่มีกรรมการผู้บริหารที่ถูกก.ล.ต. กล่าวโทษใน 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ระหว่างเข้าร่วมโครงการต้องไม่เข้าข่ายกรณีที่กล่าวมาข้างต้น โดยเริ่มต้นเฟสแรก 50 บริษัทและคาดหวังว่าในอนาคต กว่า 50% ของบริษัทจดทะเบียนจะเข้าร่วมเพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทที่มีการวางแผนการเติบโตอยู่แล้ว ก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งตลท.พร้อมสนับสนุนด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านเทคโนโลยี AI ค่าที่ปรึกษาหรือ FA ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมทั้งการ Roadshow ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามหากบริษัทอาจไม่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนอาจมีการระงับ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้จากการเข้าร่วมโครงการ
โครงการ Jump+ จะเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการกระตุ้นตลาดทุนระยะยาว หนุนให้ไทยเป็น Listing Hub ที่สามารถระดมทุนได้ทั้งบริษัทให้ภูมิภาคและทั่วโลก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย สร้างความง่ายในการประกอบธุรกิจ (ease of doing business)
นายอัสสเดช ยังกล่าวว่า ตลท. ได้มีมาตรการกระตุ้นตลาดทุนระยะสั้นการรื้อฟื้นกองทุน LTF ซึ่งจะศึกษาและนำเสนอแนวทางการย้ายกองมายัง TESG เพื่อสนับสนุน Trust & Confidence รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนใน ESG ช่วยสร้างเสถียรภาพตลาดในยามผันผวน อย่างไรก็สิทธิจูงใจ และสิทธิประโยชน์ทางภาษียังไม่มีความชัดเจนไม่ประเด็นดังกล่าว เนื่องจากเป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงและวางแผนด้านนี้อยู่ โดยจะมีการหารือร่วมทางกระทรวงการคลังพร้อมกันกับโครงการ Jump+
นอกจากนี้โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้มูลค่าของกิจการสะท้อนได้อย่างเหมาะสม โดยตลท. จะมีการหารือร่วมกับก.ล.ต. และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปรับเปลี่ยนเกณฑ์ระยะเวลาการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนให้สะดวก และคล่องตัวขึ้น เดิมเมื่อซื้อหุ้นคืนกลับมาแล้ว ต้องจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนออกไปภายในเวลาที่กำหนด หากช่วงเวลาที่ต้องจำหน่าย สภาวะตลาดไม่ดีอาจเป็นการซ้ำเติมตลาด ซึ่งศึกษาจากกฎเกณฑ์ของต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.พ. 68)
Tags: ตลาดหุ้น, ยกเว้นภาษี, หุ้นไทย, อัสสเดช คงสิริ