ดียาห์ โรโร เอสติ วิดยา ปูตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียจะหาทางกระจายตลาดส่งออกของประเทศ ท่ามกลางการกีดกันทางการค้าทั่วโลกที่ทวีความรุนแรง พร้อมยืนยันจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในท้องถิ่น
โรโรกล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่กรุงจาการ์ตาเมื่อวันพุธ (12 ก.พ.) ว่า “แถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับภาษีศุลกากรค่อนข้างน่าตกใจในหลาย ๆ แง่ อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าอินโดนีเซียสามารถเพิ่มศักยภาพของตลาดได้สูงสุด หากสหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีน” พร้อมกล่าวเสริมว่า “เราจะคุ้มครองการค้าของชาติ ไปพร้อมกับขยายการส่งออก”
แผนของปธน.ทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่แคนาดาจนถึงจีน สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วโลกว่า การส่งออกของทุกประเทศอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคที่มากขึ้นจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โรโรระบุว่า ความเสี่ยงอันเกิดจากความปั่นป่วนของการค้าโลกทำให้อินโดนีเซียต้องระมัดระวัง ขณะที่ประเทศเดินหน้าแสวงหาข้อตกลงทางการค้าใหม่ ๆ และเพิ่มการคุ้มครองผู้ผลิตในท้องถิ่นจากการทุ่มตลาดของสินค้านำเข้าราคาถูก
“เราไม่ต้องการรีบร้อนจนเกินไปในการกำหนดกฎระเบียบการนำเข้า เมื่อสถานการณ์ชัดเจนมากขึ้น รัฐบาลจึงจะดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่อินโดนีเซียมากที่สุด” เขากล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ที่ผ่านมา อินโดนีเซียพยายามกระชับสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี อินโดนีเซียต่างจากประเทศเพื่อนบ้านตรงที่ไม่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEP) ที่ครอบคลุมกับสหรัฐฯ แต่อาศัยกลไกต่าง ๆ เช่น ข้อตกลงกรอบการค้าและการลงทุน (TIFA) ในการจัดการความสัมพันธ์ทางการค้าแทน
กระทรวงการค้าของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า การส่งออกโดยรวมของอินโดนีเซียไปยังจีน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในช่วงปี 2562-2567 ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 47% ในช่วงเวลาดังกล่าว
กระทรวงเผยว่า การค้าระหว่างอินโดนีเซียกับสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว โดยอินโดนีเซียมีดุลการค้าเกินดุลที่ 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.พ. 68)
Tags: ดีลการค้า, อินโดนีเซีย