เงินบาทเปิด 33.68 แนวโน้มแกว่ง sideway ทางแข็งค่า จับตาราคาทอง-ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงิน บาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.68 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากปิดวันก่อนที่ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์

โดยตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down ตามการพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาด ทยอยคลายกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 อย่างการ ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariffs ที่อาจจะยังไม่ได้เริ่มดำเนินการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวในทันที จนกว่าจะถึงช่วงเดือน เมษายน

คืนนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดค้าปลีก รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือน มกราคม ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซน ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ที่ผ่าน มา

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท อาจยังไม่สามารถกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน และมีโอกาสที่เงินบาทอาจแกว่งตัวใน กรอบ Sideways ไปก่อนได้ จนกว่าจะเห็นการกลับมาอ่อนค่าลงของเงินบาท จนทะลุโซนแนวต้าน 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีก ครั้ง

“เงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องระวังและติดตามทิศ ทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด โดยต้องติดตามประเด็นความกังวลในตลาดการเงิน เช่น แนวโน้มการดำเนินนโยบายกีด กันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ อาจกระทบต่อแนวโน้มราคาทองคำได้”

นายพูน คาดวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 33.55-33.85 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 152.56 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานอยู่ที่ระดับ 154.08 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0460 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานอยู่ที่ระดับ 1.0418 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.895 บาท/ดอลลาร์
  • บิ๊กบอส’มาสด้า’เข้าพบแพทองธาร ลงทุนเพิ่ม 5 พันล้าน จับมือไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ใช้พลังงานสะอาด ส่งออกขายทั้งในไทยและต่างประเทศ นายกฯโชว์วิชั่นพัฒนาอุตฯไทย ชูกลไก 4GO ดิจิทัล-นวัตกรรม-กรีน-โกลบอล ดึงศักยภาพให้ทั่วโลก ยอมรับ
  • รมว.คลัง เปิดเผยว่า คลังกำลังทบทวน ผ่อนปรนเกณฑ์เรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีเงินได้จากต่าง ประเทศ และนำเข้ามาในประเทศไทยใหม่ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ และสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนนำเงินลงทุนต่างประเทศ กลับเข้ามาในประเทศเพิ่ม
  • “คลัง” มั่นใจ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ช่วยหนุนการท่องเที่ยว ชี้เป็นการท่องเที่ยวลักษณะครอบครัวเชื่อมโยง การท่องเที่ยวในประเทศได้มากขึ้น หนุนปลดล็อกขยายเวลาขายแอลกอฮอล์ หวังกระตุ้น ศก.
  • นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกของประธานาธิบดี (presidential memorandum) ในวันพฤหัสบดี เพื่อประกาศ แผนการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยเจ้าหน้าที่อาวุโส ของทำเนียบขาวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า มาตรการดังกล่าวอาจจะมีการบังคับใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ทีมเศรษฐกิจ และการค้าของปธน.ทรัมป์กำลังศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการค้าทวิภาคี
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวขึ้น 3.5% ในเดือนม.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนธ.ค.เช่นกัน ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และหนึ่งในเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จับตาอย่างใกล้ชิด ปรับตัวขึ้น 3.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 3.7% ใน เดือนธ.ค.
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 215,000 ราย
  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลง นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เลื่อนการ บังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้
  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะ สินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
  • ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐในวันนี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนม.ค., การผลิตภาค อุตสาหกรรมเดือนม.ค. และ สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค.
  • นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ออกไปเป็นเดือน ก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ค. และจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวของเฟดในปีนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด และประธานเฟด กล่าวย้ำว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบปรับลดอัตรา ดอกเบี้ย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.พ. 68)

Tags: , ,
Back to Top