![](https://www.infoquest.co.th/wp-content/uploads/2025/02/AF18597704EF844F2CB3363E2CA579D7.jpg)
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ศึกษาแนวโน้มการขยายตัวของตราสารหนี้สีเขียว แนะภาครัฐและเอกชนใช้เป็นทางเลือกในการระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันควบคู่กับสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนทั่วโลก มาตรการ กฎเกณฑ์ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับตัว และหาแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ
โดยในรายงาน Global Warming of 1.5C ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) คาดการณ์ว่า ในปี 2583 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส จากปี 2564 (19 ปี) และในช่วงระหว่างปี 2559-2578 ทั่วโลกจะมีค่าใช้จ่ายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ขณะที่ในรายงาน Labelled Bonds for the Net-Zero Transition in South-East Asia: The Way Forward ที่จัดทำโดย World Economic Forum ร่วมกับ ETH Zurich ระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับดำเนินการต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ความต้องการเงินทุนสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของภาคเอกชน ก่อให้เกิดทางเลือกในการระดมทุนสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ได้แก่ ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) หรือตราสารหนี้ที่ระดมทุนเพื่อนำไปใช้ดำเนินโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการพลังงานหมุนเวียน การคมนาคมที่ใช้พลังงานสะอาด การบริหารจัดการขยะ และการสร้างอาคารสีเขียว
ทั้งนี้ ตราสารหนี้สีเขียวที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ จะเรียกว่า “พันธบัตรสีเขียว”และตราสารหนี้สีเขียว ที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า “หุ้นกู้สีเขียว”
ปัจจุบัน ตราสารหนี้สีเขียว เป็นตราสารหนี้ที่มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงาน Sustainable Debt Market Summary ประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ของ Climate Bonds Initiative ที่ระบุว่า ตลาดตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน (Green, Social, Sustainability and Sustainability-linked Debts) เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการออกตราสารหนี้ครั้งแรกในปี 2550 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ตราสารหนี้สีเขียวทั่วโลก มีมูลค่าสะสมตั้งแต่ปี 2550 ประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 62% ของตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน และตราสารหนี้สีเขียวที่ออกในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่า 5.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกกำลังเร่งระดมทุนเพื่อใช้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยประเทศที่มีตราสารหนี้สีเขียวมากที่สุดคือ จีน มีมูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และรองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 1.94 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ตราสารหนี้สีเขียวในสหรัฐอเมริกาอาจมีมูลค่าลดลง เนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ได้สนับสนุนการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทำให้การลงทุนและการระดมทุนสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในทวีปอื่น โดยเฉพาะในเอเชีย และยุโรปเพิ่มมากขึ้น
สำหรับตัวอย่างตราสารหนี้สีเขียวของต่างประเทศ อาทิ
– อินเดีย ออกพันธบัตรสีเขียว สำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อให้อินเดียสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
– เบลเยียม ออกพันธบัตรสีเขียว เพื่อสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียว ระบบขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
– สหรัฐอเมริกา บริษัท Apple ออกหุ้นกู้สีเขียว เพื่อระดมทุนสำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการพลังงานลม
– แคนาดา ออกพันธบัตรสีเขียว เพื่อนำไปใช้ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนาเครื่องมือดักจับคาร์บอน
– ซาอุดีอาระเบีย บริษัท Saudi Electricity Company ออกหุ้นกู้สีเขียว เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียว และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
สำหรับในประเทศไทย มีการออกตราสารหนี้สีเขียวครั้งแรกในปี 2558 ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้สีเขียวในปี 2561 โดยในรายงาน Emerging Market Green Bonds ที่จัดทำโดยบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) และ Amundi ระบุว่า ตราสารหนี้สีเขียวของไทยในปี 2566 มีมูลค่าสะสมประมาณ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตราสารหนี้สีเขียวในไทยส่วนใหญ่ ออกโดยภาคเอกชนและธนาคาร อาทิ
– บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ออกหุ้นกู้สีเขียว เพื่อใช้ในโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด
– บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) ออกหุ้นกู้สีเขียว เพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมในออสเตรเลีย และโครงการรถไฟฟ้าในไทย
– บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ออกหุ้นกู้สีเขียว เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร
– ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกพันธบัตรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อ SMEs (SME Green Bond) สำหรับนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะดำเนินโครงการพลังงานสะอาด
– ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) ออกตราสารหนี้สีเขียว เพื่อระดมเงินทุนสำหรับปล่อยกู้ให้กับโครงการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิต ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแสวงหาเงินทุนโดยใช้ตราสารหนี้สีเขียวได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.พ. 68)