“แซม นูโจมา” บิดาผู้ก่อตั้งนามิเบีย ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 95 ปี

ทำเนียบประธานาธิบดีนามิเบียออกแถลงการณ์วันนี้ (9 ก.พ.) ว่า แซม นูโจมา อดีตนักกิจกรรม ผู้นำกองโจร และประธานาธิบดีคนแรกของนามิเบียหลังได้รับเอกราชจากแอฟริกาใต้ภายใต้การปกครองแบบแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 ก.พ.) ด้วยวัย 95 ปี

นูโจมาขึ้นเป็นผู้นำประเทศเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2533 และได้รับการยกย่องเป็น “บิดาผู้ก่อตั้งชาตินามิเบีย” ในปี 2548 อย่างไรก็ตาม นูโจมาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและต่างประเทศในเรื่องการไม่ยอมรับการวิจารณ์จากสื่อ การต่อต้านการรักร่วมเพศ ตลอดจนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2541 เพื่อให้ตนเองดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สามได้

นูโจมาเป็นพันธมิตรกับโรเบิร์ต มูกาเบ อดีตผู้นำซิมบับเว และสนับสนุนนโยบายยึดที่ดินจากเกษตรกรผิวขาวของมูกาเบ แม้ว่าในนามิเบีย นูโจมาจะใช้นโยบาย “ผู้ซื้อเต็มใจ ผู้ขายเต็มใจ” ก็ตาม

“รากฐานของสาธารณรัฐนามิเบียสั่นคลอน ดร.นูโจมา ผู้นำที่เคารพรักของเรา ไม่เพียงแต่เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางสู่เสรีภาพ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เรายืนหยัดและเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของบรรพบุรุษ” ทำเนียบประธานาธิบดีโพสต์บนเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์)

ทำเนียบประธานาธิบดีระบุว่า นูโจมาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และกล่าวเสริมว่า “น่าเศร้าที่บุตรชายผู้กล้าหาญที่สุดแห่งแผ่นดินของเราไม่อาจเอาชนะความเจ็บป่วยในครั้งนี้ได้”

นูโจมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีติดต่อกัน 3 สมัย ตั้งแต่ปี 2533 ถึง 2548 โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และประสานรอยร้าวทางการเมือง พรรค SWAPO ของนูโจมาได้ริเริ่มโครงการปรองดองแห่งชาติภายใต้คำขวัญ “หนึ่งนามิเบีย หนึ่งชาติ”

ในการกล่าวสุนทรพจน์ นูโจมาย้ำเสมอว่า “ประชาชนที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มุ่งมั่นที่จะบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกคนในสังคม จะประสบความสำเร็จเสมอ”

นดุมบา กัมวันยาห์ อาจารย์มหาวิทยาลัยนามิเบียและนักวิเคราะห์การเมือง กล่าวว่า ความสำเร็จของนูโจมารวมถึงการวางรากฐานสถาบันประชาธิปไตยและการให้ความสำคัญกับการสร้างความปรองดองในชาติ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการใช้อำนาจแบบเผด็จการที่ปรากฏในการจัดการกับสื่อและการปราบปรามการก่อกบฏคาพรีวิ (Caprivi) ในปี 2542 อย่างรุนแรงนั้น กลับเป็นสิ่งที่บดบังผลงานและความดีงามที่เขาได้สร้างไว้

“ถึงแม้การเป็นประธานาธิบดีของนูโจมาจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างเอกราชและระบบการปกครองของนามิเบีย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีข้อบกพร่องเลย” กัมวันยาห์กล่าว

นูโจมาเกิดในหมู่บ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือของนามิเบียในปี 2472 ในช่วงที่นามิเบียอยู่ภายใต้การปกครองของแอฟริกาใต้ ซึ่งเข้าควบคุมดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สืบต่อจากยุคอาณานิคมเยอรมนีอันโหดร้าย ซึ่งเป็นที่จดจำจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเฮเรโรและชาวนามา

ข้อมูลชีวประวัติที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของมูลนิธิการกุศลของนูโจมาระบุว่า ในช่วงวัยเด็ก นูโจมาช่วยครอบครัวเลี้ยงวัว และเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาของคณะมิชชั่นฟินแลนด์ ต่อมาเขาได้ย้ายไปยังเมืองชายฝั่งวอลวิสเบย์ แล้วจึงไปที่กรุงวินด์ฮุก ที่ซึ่งเขาทำงานให้กับการรถไฟแห่งแอฟริกาใต้

ในเวลาต่อมา นูโจมาตัดสินใจลาออกจากงานที่การรถไฟ เพื่อทุ่มเทกำลังทั้งหมดให้กับการต่อสู้เพื่อล้มล้างระบบแบ่งแยกสีผิว

ในช่วงต้นทศวรรษ 2500 นูโจมาได้เป็นผู้นำองค์การประชาชนโอวัมโบ ซึ่งเป็นองค์กรที่นำไปสู่การก่อตั้งขบวนการปลดปล่อย SWAPO โดยเขาเป็นผู้จัดการประท้วงต่อต้านการบังคับโยกย้ายถิ่นฐานคนผิวดำในกรุงวินด์ฮุก จนนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงที่ตำรวจสังหารผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ 12 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบราย

นูโจมาถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้จัดการประท้วงและถูกจับกุม ต่อมาในปี 2503 เขาตัดสินใจลี้ภัย โดยเดินทางรอนแรมไปทั่วทวีปแอฟริกาก่อนจะไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่นั่น เขาได้ยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติเพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับนามิเบีย

แม้จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำ SWAPO ทั้งที่ยังลี้ภัยอยู่ นูโจมาได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของพรรค และเปิดฉากสงครามกองโจรต่อต้านรัฐบาลแบ่งแยกสีผิวในปี 2509

หลังจากแรงกดดันจากนูโจมาและอีกหลายฝ่ายเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ในที่สุด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติในปี 2521 เสนอให้มีการหยุดยิงและการเลือกตั้ง แต่กว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการลงนามและจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จก็ล่วงเลยไปจนถึงช่วงปลายปี 2532 ซึ่งพรรค SWAPO ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ และนูโจมาได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมี.ค.ของปีถัดไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.พ. 68)

Tags: , ,
Back to Top