สมช. ชงหลักฐานเสนอ มท.ตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเมียนมา

นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงข่าวผลประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประมวลข้อมูลด้านความมั่นคง เพื่อพิจารณาตัดกระแสไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียนมา

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ที่ประชุมมีข้อมูลที่สำคัญที่จะส่งให้ กฟภ. และกระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการใน 6 ประเด็น คือ 1. เชื่อได้ว่ามีจุดที่มีความเสี่ยง มีหลักฐานในระดับหนึ่งที่เกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ อ.แม่สาย จังหวัดเมียวดี และฝั่งพญาตองซู 2. พบการเชื่อมโยงกับบุคคล หรือบริษัทสัมปทานแก๊งคอลเซ็นเตอร์, กาสิโน ที่เชื่อมโยงกับการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับทางเมียนมา 3. มีข้อมูลขอการใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติม แต่ไม่สามารถอธิบายได้ในช่วงที่ผ่านมา

4. แม้รัฐบาลได้ดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้วในพื้นที่ชเวก๊กโก เจเจพาร์ค แต่ปรากฏว่ายังสามารถประกอบกิจการได้ โดยประเมินว่า อาจจะใช้น้ำมันปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าใช้ไฟได้อย่างไร 5. สัดส่วนการใช้ไฟในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นอย่างไร และ 6.พบข้อมูลว่า จุดที่เคยตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้ว พบหลักฐานบางอย่างว่ามีการเชื่อมโยงเปิดเส้นทางใหม่ โดยใช้กระแสไฟฟ้าจากแหล่งอื่น ไปสู่จุดที่เคยตัดกระแสไฟฟ้า

เลขาธิการ สมช. กล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติ 3 ข้อ คือ 1.ข้อมูลที่พบทั้งหมดจะส่งไปยัง กฟภ.เพื่อประกอบการพิจารณา 2.ให้ กฟภ.นำข้อมูลไปเจรจาบริษัทคู่สัญญาไฟฟ้า เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการให้เหมาะสม ให้เป็นไปตามสัญญา โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก และ 3.ให้กระทรวงการต่างประเทศ ประสานกับรัฐบาลเมียนมา เพื่อตั้งคณะกรรมการร่วมกับบริษัทคู่สัญญา และให้เมียนมาช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

ส่วนมาตรการระยะยาวนั้น เห็นพ้องว่าจะต้องมีการทบทวนมติ ครม.ตั้งแต่ปี 2537 ที่ครั้งนั้นไทยดำเนินการให้ใช้ไฟฟ้าเพื่อมนุษยธรรม และการค้าชายแดน แต่สถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป มีกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนั้นไทยต้องมาพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไป

ขณะที่นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หากมีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงทางการข่าว และเห็นชัดว่ามีการนำกระแสไฟฟ้าจากฝั่งไทยไปใช้ในกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรม หรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กระทรวงมหาดไทย สามารถรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณา เพราะ กฟภ. มีสัญญาที่ระบุไว้ว่าสามารถที่จะเลิก หรืองด และบังคับตามสัญญาในการจ่ายกระแสไฟฟ้า ถ้าพบว่า มีผลกระทบต่อความมั่นคง

ดังนั้น จึงนำข้อมูลเข้ามาพูดคุยกับ สมช. เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้รับทราบว่าการใช้ไฟในพื้นที่นั้น ๆ กระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ ก่อนจะให้ กฟภ.นำข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณาตามสัญญา หากมีความชัดเจนก็สามารถดำเนินการตามสัญญาได้เลย หรือหากยังไม่มีความชัดเจนมากพอ ก็ต้องไปสอบถามคู่สัญญา รวมทั้งลงไปตรวจสอบพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบกับทาง สมช. แต่หากข้อมูลยังไม่ชัดอีก ก็จะต้องตั้งทีมลงไปตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริสุทธิ์ที่ใช้ไฟฟ้า

นายชำนาญวิทย์ กล่าวว่า แนวทางเหล่านี้ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนส.ค.67 โดยทำหนังสือไปสอบถามยังหลายหน่วยงาน ทั้งแนวทางการตัดน้ำ-ตัดไฟ รวมถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ต หากได้ข้อสรุป ก็เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการตามสัญญาได้ทันที

ส่วนอำนาจการตัดกระแสไฟฟ้าตอนที่อนุญาตให้ขายไฟ เป็นมติ ครม. เพราะฉะนั้นการที่จะงดขาย ต้องไปดูว่าตอนอนุญาตมีเงื่อนไขอย่างไร ซึ่งตามมติ ครม.มีการพูดถึงเรื่องความมั่นคง จึงถูกนำมาเขียนไว้ในสัญญา ทำให้ต้องพ่วงกับ สมช.

“ดังนั้น เรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศ จะต้องถามทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ และสมช. เพื่อนำมาประกอบ ว่าผิดตามเงื่อนไขหรือไม่ หากพบก็สามารถบังคับตามเงื่อนไขได้ทันที และย้ำว่า การจะตัดกระแสไฟฟ้าได้ ต้องยึดตามสัญญา ซึ่งในสัญญาระบุไว้ว่า จะต้องกระทบต่อความมั่นคงเท่านั้น” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

พร้อมระบุว่า บุคคลที่จะมีอำนาจเซ็นในการตัดกระแสไฟฟ้าได้ คือ นายภูมิธรรม เพราะเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สมช.

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.พ. 68)

Tags: , , ,
Back to Top