กางไทม์ไลน์ “พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ” คาดมีผลบังคับใช้กลางปีนี้

นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยถึงกรอบการดำเนินแผนการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์รับหลักการ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ว่า หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการต่อด้านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และ 3 ก่อนที่มีการพิจารณาของวุฒิสภา โดยคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2568 พร้อมกับเตรียมร่างกฎหมายลำดับรอง รับฟังความเห็น และเสนอประกาศกฎหมายลำดับรองภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายครบทุกสี ทุกสาย ทุกเส้นทาง ผ่านการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมต่อไป

พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ นั้น มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ

1) การจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลาง โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งการจราจาร (สนข.) และใช้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับตั๋วร่วมในอนาคต

2) กำหนดอัตราโดยสารร่วม โดยอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการออกกฎกระทรวง เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจะต้องนำอัตราค่าโดยสารร่วมไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคตด้วย

3) จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนในการดำเนินงาน การพัฒนา และการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมทั้งให้กู้ยืมแก่ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการตั๋วร่วม

4) ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ และ

5) ในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้ใบรับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดในการส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อป้องกันการเสียหายต่อสาธารณะ

สำหรับการตราพระราชบัญญัตินี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่า ปัจจุบันการขนส่งผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะมีผู้ให้บริการหลายราย โดยผู้ให้บริการแต่ละรายมีต้นทุนในการจัดทำและบริหารจัดการระบบการจัดเก็บค่าโดยสารหรือค่าธรรมเนียมของตนเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนในการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะอยู่ในอัตราสูง และประชาชนผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบต้นทุนดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นทุน และภาระของประชาชนแล้ว ยังทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการขนส่งสาธารณะอีกด้วย

อีกทั้งยังเพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนผู้ใช้บริการให้สามารถใช้บัตรโดยสารใบเดียวในการเดินทางได้ทุกระบบขนส่งสาธารณะ อันเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากขนส่งส่วนบุคคล เป็นการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งจะทำให้สามารถลดค่าโดยสารลงได้ ถือเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ จึงควรกำหนดให้มีการบริหารจัดการร่วมกันในรูปแบบระบบตั๋วร่วม โดยการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน การพัฒนา และการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ม.ค. 68)

Tags: ,
Back to Top