มาตรการภาษีนำเข้าทองแดง-อะลูมิเนียม “ทรัมป์” ส่อเค้าดันราคาสินค้าสหรัฐฯ พุ่ง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานวันนี้ (28 ม.ค.) โดยอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์และแหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมว่า แผนการเก็บภาษีนำเข้าทองแดงและอะลูมิเนียมของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันแพงขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ผลิตเองได้ไม่พอ และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมในประเทศต้องใช้เวลานาน

ในการปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ทรัมป์กล่าวว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและทองแดง ซึ่งเป็นโลหะจำเป็นต่อการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ รวมถึงเหล็กกล้า เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตกลับมาผลิตในสหรัฐฯ

ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งปธน.เมื่อเดือนพ.ย. โดยให้สัญญาว่าจะลดค่าครองชีพให้ประชาชนชาวอเมริกันที่ยังเดือดร้อนจากปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นสมัยของปธน.โจ ไบเดน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า แผนภาษีนำเข้าของทรัมป์เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตในประเทศซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักของเขานั้น อาจสวนทางกับเป้าหมายลดราคาสินค้าที่เคยสัญญาไว้

ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะครอบคลุมกว้างขวางเพียงใด แต่ผู้บริหารบริษัทเหมืองแร่หลายแห่งเผยว่าเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ เนื่องจากตลาดจับตาดูผลกระทบต่อทิศทางการค้าระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้น

แดเนียล มอร์แกน นักวิเคราะห์จากธนาคารเพื่อการลงทุน Barrenjoey ในซิดนีย์ กล่าวว่า “ยังมีประเด็นที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง เช่น ภาษีนำเข้าจะถูกบังคับใช้จริงหรือไม่ ในระดับใด และใครจะเป็นผู้รับภาระ แต่สุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคมักเป็นคนที่ต้องจ่าย โดยเฉพาะหากไม่มีสินค้าในประเทศมาทดแทน”

มอร์แกนกล่าวเสริมว่า โรงงานหลอมอะลูมิเนียมและทองแดงในสหรัฐฯ ได้ทยอยปิดตัวลง การจะกลับมาเปิดดำเนินการใหม่นั้นจำเป็นต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ต้องทำสัญญาซื้อไฟฟ้าใหม่ รวมถึงต้องจัดการเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานพอสมควร

มอร์แกนให้ความเห็นว่า ผู้ผลิตอะลูมิเนียมในแคนาดาอย่าง Rio Tinto และ Alcoa คงไม่ได้รับผลกระทบในแง่รายได้ แต่ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักไปให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และสุดท้ายก็จะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันนั่นเอง

โฆษกของ Alcoa ได้อ้างถึงคำพูดของวิลเลียม ออปลิงเจอร์ ซีอีโอของบริษัท ในการประชุมรายงานผลประกอบการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ชี้ให้เห็นว่าอาจเกิด “ผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการผลิต ความต้องการ และทิศทางการค้าระหว่างประเทศ” โดยเขาคาดการณ์ว่า หากมีการเก็บภาษีนำเข้า 25% จากสินค้าที่แคนาดาส่งมาขายในสหรัฐฯ อาจทำให้ลูกค้าอเมริกันต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 1.5-2 พันล้านดอลลาร์

ในส่วนของทองแดง จอห์น เฟนเนล ซีอีโอของสมาคมทองแดงนานาชาติประจำออสเตรเลีย ชี้ว่า หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าทองแดง ย่อมกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างแน่นอน เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าทองแดงสุทธิ แม้ว่าการเก็บภาษีนี้อาจช่วยกระตุ้นให้มีการพัฒนาเหมืองใหม่ ๆ เร็วขึ้น อย่างเช่นเหมือง Resolution ของ Rio Tinto ในรัฐแอริโซนา

“เหมืองใหม่ ๆ อย่าง Resolution อาจได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่กว่าจะพร้อมก็คงอีกหลายปี ระหว่างนั้น ผู้ผลิตในประเทศที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าก็คงเดือดร้อนกันไปก่อน” เฟนเนลกล่าว

แคทลีน เคิร์ก ซีอีโอของ Freeport-McMoRan เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า บริษัทเหมืองของตนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีทองแดง เพราะทองแดงที่ผลิตในสหรัฐฯ ก็ขายในประเทศทั้งหมด ส่วนที่ผลิตในอินโดนีเซียก็ส่งไปขายในเอเชีย อย่างไรก็ตาม เธอยังเป็นห่วงว่า การขึ้นภาษีทองแดงครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา

สำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่อันดับ 3 ของโลกนั้น โทโมมิจิ อาคุตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Mitsubishi UFJ Research and Consulting ชี้ว่า มาตรการเก็บภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมในสมัยทรัมป์หนึ่งนั้นส่งผลกระทบไม่มากนัก

“ญี่ปุ่นส่งออกเหล็กกล้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพิเศษที่มีมูลค่าสูง ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าประเภทนี้ได้รับการยกเว้นภาษี ครั้งนี้ก็น่าจะได้รับการยกเว้นเช่นกัน เพราะเป็นสินค้าที่หาอะไรมาทดแทนได้ยาก จึงมีความเสี่ยงต่ำที่จะโดนเก็บภาษี” อาคุตะกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ม.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top