
นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที คิว อาร์ [TQR] เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 68 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน โดยธุรกิจประกันภัยต่อ Traditional และ Alternative ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TQR มีการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
นายชนะพันธุ์ กล่าวว่า เทรนด์ประกันภัยที่ได้รับความนิยมและมาแรงปีนี้ อันแรกคือ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพรวมอุบัติเหตุ เพราะ Medical inflation เพิ่มขึ้นปีละ 10%
อีกทั้ง การเพิ่มการทำประกันสุขภาพ ที่นำ Co Payment ที่เป็นเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันสุขภาพใหม่ ที่ผู้เอาประกันมีส่วนรวมจ่าย แต่ก็ทำให้เบี้ยประกันถูกลงหรือไม่สูง ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เอาประกันภัยเป็นบวก เชื่อว่า จากการเพิ่มเงื่อนไข Co Payment ในประกันสุขภาพ จะทำให้ยอดเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพเติบโตได้ 10-20%
โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างขอรับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยต่อประกันชีวิต คาดว่าน่าจะได้รับภายในปี 68
ขณะที่การทำประกันภัยต่อรถยนต์ในปี 68 ก็จะเห็นมากขึ้น เพราะแนวโน้มรถไฟฟ้า (EV) ที่กำลังมีผู้ใช้มากขึ้น
นอกจากนี้ TQR เห็นโอกาสการรับประกันภัยต่อในกิจการเสี่ยงภัยมากขึ้นที่ไม่ใช่ประกัน อาทิ ภัยไซเบอร์ หรือ งานที่มีความรับผิดต่างๆ อาทิ กรมธรรม์กรรมการและฝ่ายบริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่อาจถูกฟ้องจากการตัดสินใจ/บริหารผิดพลาด ซึ่งปัจจุบันบจ.ทำประกันส่วนนี้น้อยมาก ปัจจุบันมีการทำประกัน 20 กว่าบริษัทจากทั้งหมดกว่า 700 บริษัท, กรมธรรม์รับประกันความเสี่ยงในความรับผิดของแพทย์ ที่เติบโตตามเทรนด์สุขภาพ ซึ่งแพทย์ในรพ.เอกชนถูกบังคับซื้อกรมธรรม์ประเภทนี้, อาชีพที่มีใบอนุญาต เช่น ทนายความ นักบัญชี ก็มีกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงความรับผิดเช่นกัน ทั้งนี้ เห็นว่า กรมธรรม์ประเภทนี้จะมีการเติบโตสูงขึ้น
“ปี 68 เราประเมินว่าผู้บริโภคมีความต้องการในการทำประกันภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ประกอบกับ บริษัทฯ วางแผนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ร่วมกับบมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence), ประกันภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยต่อจะมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย พร้อมทั้ง จะช่วยผลักดันผลงาน TQR ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน” นายชนะพันธุ์ กล่าว
นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQR กล่าวว่า สำหรับบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยไซเบอร์มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automatically) และนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังได้เริ่มขยายธุรกิจในด้านการให้คำปรึกษาและบริการ DPO Outsourcing ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการเงิน การธนาคาร และธุรกิจประกันภัย
ในส่วนของธุรกิจให้บริการ (Service) ของบริษัทร่วมทุน “บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด” ในปีนี้มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการปรับปรุงคุณภาพของแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการลูกค้า โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในด้าน Face Recognition ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย และมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าและเครือข่ายไปในอีกหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ม.ค. 68)
Tags: TQR, ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์, ที คิว อาร์, ยุพเรศ พิริยะพันธุ์, หุ้นไทย