กลุ่มสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ เตือนว่า คำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) อาจเป็นการปูทางไปสู่การรื้อฟื้นคำสั่งห้ามเดินทางสำหรับผู้ที่เดินทางจากประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามหรือเป็นชาวอาหรับ
คณะกรรมการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อชาวอาหรับอเมริกัน (ADC) ระบุว่า คำสั่งใหม่อ้างอิงกฎหมายเดียวกับที่ทรัมป์ใช้สำหรับคำสั่งห้ามเดินทางในปี 2560 คำสั่งใหม่นี้ให้อำนาจรัฐบาลมากขึ้นในการปฏิเสธการขอวีซ่าหรือเนรเทศบุคคลที่อยู่ในสหรัฐฯ แล้ว โดยพิจารณาจากความเชื่อหรืออุดมการณ์ของพวกเขา
ADC ได้จัดตั้งสายด่วนตลอด 24 ชั่วโมง (844-232-9955) เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งนี้
สภาชาวอิหร่าน-อเมริกันแห่งชาติ (NIAC) กล่าวว่า คำสั่งของทรัมป์เรื่อง “การปกป้องสหรัฐฯ จากผู้ก่อการร้ายต่างชาติและภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยสาธารณะ” จะทำให้ครอบครัวในสหรัฐฯ ต้องแยกจากคนที่รัก และลดจำนวนผู้สมัครเรียนในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ โดย NIAC ได้จัดทำเว็บไซต์ใหม่เกี่ยวกับประเด็นนี้
คำสั่งใหม่ของทรัมป์ ซึ่งลงนามเมื่อวันจันทร์นั้น กำหนดกรอบเวลา 60 วันให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงยุติธรรม, หน่วยข่าวกรอง และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เพื่อตรวจสอบว่ามีประเทศใดบ้างที่กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยสำหรับผู้เดินทางอ่อนแอมาก หากพบประเทศเหล่านั้น สหรัฐฯ อาจหยุดรับคนจากประเทศเหล่านั้นบางส่วนหรือทั้งหมด
คำสั่งนี้มีความเข้มงวดมากกว่าคำสั่งห้ามเดินทางในปี 2560 ของทรัมป์ ซึ่งเคยห้ามผู้เดินทางจาก 7 ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยเพิ่มเงื่อนไขที่ระบุว่า ผู้ที่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน วัฒนธรรม รัฐบาล สถาบัน หรือหลักการในการก่อตั้งของประเทศสหรัฐฯ จะไม่ได้รับวีซ่าหรือไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ และยังสร้างกระบวนการที่อาจนำไปสู่การเพิกถอนวีซ่าของผู้ที่ได้รับอนุมัติไปแล้วนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564
โจเซฟ เบอร์ตัน อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ด้านวีซ่ากล่าวในการประชุมทางโทรศัพท์ที่จัดโดย NIAC ว่า คำสั่งใหม่นี้อาจให้อำนาจแก่รัฐบาลอย่างมากในการปฏิเสธการออกวีซ่าหลากหลายประเภท เช่น สำหรับนักเรียน คนทำงาน และผู้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา
อาเบ็ด อายูบ ผู้อำนวยการบริหารระดับชาติของ ADC กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ADC จะตัดสินใจในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายต่อคำสั่งนี้หรือไม่ โดยเขากล่าวว่าคำสั่งดังกล่าวสร้างแบบอย่างที่อันตรายมาก ซึ่งอาจถูกใช้ต่อต้านกลุ่มฝ่ายขวา หากรัฐบาลจากพรรคเดโมแครตขึ้นมาบริหารประเทศในอนาคต
“คำสั่งนี้จะเปิดทางให้สามารถเนรเทศบุคคลในสหรัฐฯ ได้ โดยพิจารณาจากสิ่งที่พวกเขาพูดหรือแสดงออก รวมถึงจุดยืนของพวกเขา” เขากล่าว “ถ้าพวกเขาเข้าร่วมการประท้วงที่รัฐบาลมองว่าเป็นภัยหรือไม่เป็นมิตร วีซ่าของพวกเขาจะถูกเพิกถอน และพวกเขาจะถูกดำเนินการเพื่อเนรเทศออกจากประเทศ”
ทรัมป์กล่าวซ้ำๆ ว่า เขาจะใช้มาตรการห้ามเดินทางสำหรับบุคคลจากบางประเทศหรือบางอุดมการณ์ ซึ่งเป็นการขยายจากนโยบายที่ศาลสูงสุดอนุมัติในปี 2561
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะกลับมาใช้มาตรการห้ามเดินทางกับผู้คนจากเขตปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย เยเมน และ “ที่อื่นๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของเรา”
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่าเขาจะพยายามสกัดกั้นไม่ให้บุคคลที่สนับสนุนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มาร์กซิสต์ และสังคมนิยมเข้าสู่สหรัฐฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ม.ค. 68)
Tags: กลุ่มสิทธิมนุษยชน, โดนัลด์ ทรัมป์