HSBC เชียร์เทน้ำหนักเข้าหุ้นสหรัฐรับผลดี American First มองหุ้นไทยน่าสนใจน้อยกว่าเอเชีย

มร.เจมส์ เชียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ของเอชเอสบีซี ไพรเวท แบงกิ้ง และเวลธ์ แมเนจเมนท์ กล่าวว่า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการและได้แถลงนโยบายเป็นครั้งแรกแล้ว แม้จะยังไม่ได้กล่าวถึงมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างชัดเจน แต่ยังคงเดินหน้าในการขับเคลื่อน American First ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ จึงคาดว่าจะยังคงเห็นทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐเข้าสู่ขาขึ้นต่อเนื่อง

ดังนั้น เอชเอสบีซี ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนไปยังตลาดหุ้นสหรัฐมากที่สุด เพราะได้รับประโยชน์โดยตรงจาก “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งผู้นำสหรัฐสนับสนุนการดึงการลงทุนต่างๆ กลับเข้ามาในสหรัฐ และสร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้มีความแข็งแกร่ง ทำให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินจะยังเห็นการเติบโตที่ดี และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตได้อานิสงส์บวกตามไปด้วย รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจำเป็นต้องเพิ่มการเปิดรับตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายกันนอกตลาด (Private Market) เพื่อใช้คว้าโอกาสการเติบโตนี้ โดยกระจายการลงทุนในหุ้นนอกตลาดและตราสารหนี้นอกตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ไม่สามารถหาได้ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของการลงทุนทั่วไป ควบคู่ไปกับการกระจายความเสี่ยง รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์มีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูงและผลตอบแทนหุ้นกระจายตัว แต่ก็ยังคงแนะให้เน้นการลงทุนในสหรัฐเป็นหลัก

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ เอชเอสบีซี มองว่าตลาดหุ้นที่น่าสนใจที่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดีย ยังได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่อินเดียมีความโดดเด่น นอกจากนี้ ยังมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ยังมีโอกาสลงทุนได้จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลกยังมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่ได้รับประโยชน์ในการลงทุนต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น

สำหรับตลาดหุ้นไทย เอชเอสบีซี มองว่ามีความน่าสนใจน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในเอเชีย แม้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ แต่ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายของ “ทรัมป์” แม้จะยังไม่ชัดเจนในตอนนี้ก็ตาม และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะยังตรึงไว้ที่ 2.25% ทำให้เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น จากมุมมองของเอชเอสบีซีประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กังวลการเร่งตัวของหนี้ครัวเรือนหากลดอัตราดอกเบี้ย จึงน่าจะคงไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ด้านตลาดตราสารหนี้ มองว่ายังสามารถลงทุนได้ แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก เพราะทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ยังคงทรงตัว และเชื่อว่าจะไม่ได้เห็นการลดลงมาก ทำให้ผลตอบแทนจากยีลด์ค่อนข้างน้อย แนะนำเงินที่เตรียมไว้ไปลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆแทนดีกว่า โดยเฉพาะทองคำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง หรือถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพราะคาดว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น

เอชเอสบีซี คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยจากการแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าในปี 68 อยู่ในระดับเกือบ 10% แม้ว่าจะลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 14% แต่ยังเห็นการเติบโตของผลตอบแทนที่ลูกค้าได้รับภายใต้ความท้าทายและความไม่แน่นอน รวมถึงการที่ตลาดหุ้นต่างๆ ที่ปรับขึ้นมาสู่ฐานสูงแล้ว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ม.ค. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top