สรรพากร คาดรายได้เพิ่มปีละ 12,000 ลบ. หลัง “ภาษีส่วนเพิ่ม” เริ่มบังคับใช้

นายภาณุวัฒน์ เหลืองวิไล รองอธิบดีกรมสรรพากร และโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.67 โดยจะมีผลใช้บังคับกับนิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises : MNEs) ขนาดใหญ่ที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งมีรายได้เข้ารัฐครั้งแรกราวเดือน มิ.ย.70 ประมาณปีละ 12,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเมินว่าจะมีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในไทย แบ่งเป็น Thai MNE ประมาณ 100 กลุ่มบริษัท และ Foreign MNE ประมาณ 1,100 กลุ่มบริษัท

สำหรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับการขอรับส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นั้น ที่ผ่านมา กรมสรรพากร และ BOI ทำงานใกล้ชิดกันมาโดยตลอด แต่หน้าที่แตกต่างกัน โดย BOI มีหน้าที่ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ

อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567นั้น ได้กำหนดให้กลุ่ม MNEs ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย ไม่ว่ากลุ่ม MNEs ของไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือกลุ่ม MNEs ของต่างประเทศที่ลงทุนในประเทศไทย ที่มีรายได้ตามงบการเงินรวม (Consolidated Financial Statements) ของบริษัทแม่ลำดับสูงสุดไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโรอย่างน้อย 2 ใน 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชี ที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม ต้องเสียภาษีในอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate : ETR) 15% โดยมีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีวิธีการจัดเก็บภาษี 3 รูปแบบตาม Model Globe Rules ได้แก่ 1. ภาษีส่วนเพิ่มภายในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Domestic Minimum Top-up Tax : DMTT) 2. กฎการรวมเงินได้ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Income Inclusion Rule : IIR) และ 3. กฎการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Undertaxed Payments Rule : UTPR)

“พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 จะทำให้ประเทศไทยไม่ถูกกัดกร่อนฐานภาษี และถ่ายโอนกำไร (Base Erosion and Profit Shifting : BEPS) และจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น สามารถรักษาสิทธิการจัดเก็บภาษี ในฐานะประเทศแหล่งเงินได้ โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 12,000 ล้านบาท” นายภาณุวัฒน์ กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ม.ค. 68)

Tags: ,
Back to Top