ดาวโจนส์ปิดลบ 178.20 จุด วิตกเงินเฟ้อสูงขวางเฟดหั่นดบ.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (7 ม.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นและอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,528.36 จุด ลดลง 178.20 จุด หรือ -0.42%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,909.03 จุด ลดลง 66.35 จุด หรือ -1.11% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,489.68 จุด ลดลง 375.30 จุด หรือ -1.89%

ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนบวก ก่อนที่จะปิดตลาดปรับตัวลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 259,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 8.098 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย. จากระดับ 7.839 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.70 ล้านตำแหน่ง

ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.1 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 52.1 ในเดือนพ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.3

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.699% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 2567 หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลทั้งสองรายการ

สัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งได้ส่งผลให้การคาดการณ์เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ถูกเลื่อนออกไป โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย. และจากนั้นเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปี 2568

บิล อดัมส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Comerica Bank กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นอีก โดยเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อครั้งใหม่ที่เกิดจากมาตรการภาษีนำเข้านั้น อาจจะส่งผลให้เฟดเปลี่ยนใจจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทุกครั้ง เป็นการหยุดพักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้”

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.4% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ดีดตัวขึ้น 1.06% และ 0.58% ตามลำดับ

การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง นำโดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดิ่งลง 6.22% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ร่วงลง 1.95% หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ลดลง 1.14% หุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ร่วงลง 1.3%

ในระหว่างวัน หุ้นอินวิเดียทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดียเปิดตัวผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ในงานประชุม CES 2025 ที่ลาสเวกัส ซึ่งทำให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับอุปสงค์ AI

หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 2.67% หลังจากนักวิเคราะห์ของ BofA Global Research ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาลงสู่ระดับ “Neutral” จากระดับ “Buy”

นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำวันที่ 17-18 ธ.ค.ของเฟดซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ (8 ม.ค.) และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้

ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 9 ม.ค.นี้ เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ม.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top