ราคาทองคำพุ่ง 27% ตั้งแต่ต้นปี จ่อทำผลงานรายปีแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ในศตวรรษนี้

ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นรายปีที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ในศตวรรษนี้ โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 ราคาทองพุ่งขึ้นไปแล้ว 27% โดยได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมทั้งความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่ธนาคารกลางทั่วโลกพากันเข้าซื้อทองคำ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แม้ราคาทองคำจะชะลอตัวลงเล็กน้อยหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพ.ย. แต่เมื่อพิจารณาตลอดทั้งปี 2567 แล้ว ราคาทองคำทำผลงานโดดเด่นกว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ โดยปี 2564 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนของราคาโลหะพื้นฐาน (base metal) โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาแร่เหล็กที่ร่วงลงและราคาลิเทียมทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นั้น นักลงทุนจับตาความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินในสหรัฐฯ รวมทั้งความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว และความพยายามของจีนในการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ

การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของราคาทองคำในปีนี้ อาจส่งสัญญาณว่าพลวัตของตลาดมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อพิจารณาจากการที่ราคาทองคำมีความแข็งแกร่งแม้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วทั้งสองอย่างเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

เดวิด สคัตต์ นักวิเคราะห์จากบริษัทสโตนเอ็กซ์ กรุ๊ป (StoneX Group) กล่าวว่า “ราคาทองคำมีความโดดเด่นอย่างมากเนื่องจากได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ทองคำกลายเป็นโลหะมีค่าที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดในกับผมในปี 2567 … และดูเหมือนว่าพลวัตของทองคำได้เปลี่ยนไปแล้ว”

ขณะที่ราคาโลหะประเภทอื่น ๆ ส่วนใหญ่เผชิญกับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยราคาแร่เหล็กร่วงลงเนื่องจากกิจกรรมด้านการก่อสร้างที่อ่อนแอลงได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กของจีนเผชิญภาวะวิกฤต ขณะที่ราคาลิเทียมซึ่งใช้ในการผลิตแบตเตอรี่นั้น มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงติดต่อกันเป็นปีที่สอง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ธ.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top