EP แจงเพิ่ม 3 โรงไฟฟ้าในเวียดนามล่าช้ากระทบการคืนหนี้หุ้นกู้ ยันธุรกิจสิ่งพิมพ์-พลังงานยังเติบโตได้

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป [EP] ชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับข้อมูลในงบการเงินไตรมาส 3/67 ถึงเหตุผลและผลกระทบต่อสภาพคล่องจากกรณีโรงไฟฟ้า 3 แห่งในเวียดนามไม่สามารถ COD ได้ตามกำหนดเวลา พร้อมทั้งอธิบายแผนการดำเนินธุรกิจและความคืบหน้าของโรงไฟฟ้า และการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

การที่โรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งไม่สามารถ COD ได้ตามกำหนดเวลาส่งผลทำให้บริษัทต้องกู้ยืมเงินระยะสั้น (Bridging Loan) เป็นจำนวนมากสำหรับจ่ายคืนเงินต้นของหุ้นกู้ รุ่น EP239A (2 ปี) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 17 ก.ย.66 จำนวน 750 ล้านบาท และหุ้นกู้ รุ่น EP230A (2.5ปี) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 จำนวน 770 ล้านบาท เพราะบริษัทสามารถออกหุ้นกู้ทดแทนได้เพียง 670.20 ล้านบาทจากการที่ตลาดหุ้นกู้ถูกกระทบอย่างรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ไตรมาสละ 49 ล้านบาทตรงตามกำหนดมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดในการระดมเงินทุน หรือเงินกู้ จากสถาบันการเงิน ตลาดเงินและตลาดทุนในปัจจุบัน จึงได้ขอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้รุ่น EP249A จำนวน 570 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอน 14 ก.ย.67 และหุ้นกู้รุ่น EP24DA จำนวน 367.90 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอน 27 ธ.ค.67 ออกไปอีก 1 ปี และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาที่ขยายออกไปอีก 0.50% ต่อปีสำหรับหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่น

การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังคงมีรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม (โครงการ Huang Linh 3 กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์) โดยใน 9 เดือนแรกของปี 67 มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 696.79 ล้านบาท เป็นสัดส่วนของธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ 63% และจากธุรกิจไฟฟ้า 37% ซึ่งธุรกิจยังมีการเติบโต สามารถสร้างผลกำไรจากการดำเนินงานและกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้ในปัจจุบัน

สำหรับการขอ COD สำหรับโรงไฟฟ้าอีก 3 แห่งมีความคืบหน้า คือ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.67 นายกรัฐมนตรี Pham Minh Chinh แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อประกาศและดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายและแนวทางการแก้ไขอุปสรรคและปัญหาสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานการประชุมได้เรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค.68

ขณะที่การบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า ผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานของโครงการในเวียดนาม และต่อบริษัทฯ ในภาพรวมแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นมูลค่าการลงทุนในโครงการลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมในสกุลเงินตราต่างประเทศ (US Dollar) ที่จะต้องใช้อัตราปิด หรืออัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน เพื่อบันทึกเป็นเงินบาทตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 21 และมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นงวดที่ผ่านมา มีความผันผวนเป็นอย่างมาก จึงมีผลกำไร หรือ ขาดทุน จากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain or Loss) ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินกิจการในแต่ละวันเลย

ส่วนวัตถุประสงค์ของการกู้ยืมเงินจากธนาคารในเวียดนาม 870 ล้านบาทสำหรับโครงการ HL3 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปจ่ายให้แก่ผู้รับเหมา 130 ล้านบาทเมื่อการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 แล้วเสร็จ สำหรับเงินกู้ส่วนที่เหลือ 740 ล้านบาทจะเป็นการชำระคืนเงินกู้ผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศ (Offshore Shareholder Loan) เพื่อจะนำมาเป็นเงินทุนในการจัดการปัญหาสภาพคล่องของบริษัทฯ โดยจะสามารถเบิกงวดแรกได้ประมาณ 350 ล้านบาทเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนเรื่องการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 แล้วเสร็จ และงวดที่ 2 เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงกับทาง EVN เรื่องการกำหนดราคาค่าซื้อไฟฟ้า (Final FIT) แล้วเสร็จ

โดยขั้นตอนในการคืนเงินกู้ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่อยู่ต่างประเทศ (Offshore Shareholder Loan) ดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ของธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam: SBV) (Circular 08/2566/TT-NHNN on June 30, 2567 ) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.66 คาดว่าการเบิกเงินกู้เพื่อคืนเงินกู้ผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือน มี.ค.68

นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินจากบมจ.เพียร์ ฟอร์ ยู [PEER] เป็นการชำระคืนเงินมัดจำให้แก่ PEER โดยอ้างอิงตามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระคืนเงินมัดจำ ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบสถานะกิจการ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ธ.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top