บริษัทพลังงานรายใหญ่ของยุโรปให้ความสำคัญมากขึ้นกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซในปี 2567 เพื่อสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชะลอหรือยกเลิกเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในปี 2568
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ลดการผลักดันด้านสภาพอากาศ หลังจากรัฐบาลทั่วโลกชะลอการดำเนินนโยบายพลังงานสะอาดและเลื่อนเป้าหมายออกไป เนื่องจากต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้นหลังจากรัสเซียบุกโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2565
ที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของยุโรปได้ทุ่มลงทุนไปกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่พวกเขากลับพบว่า หุ้นของบริษัทให้ผลตอบแทนน้อยกว่าคู่แข่งจากสหรัฐฯ อย่าง เอ็กซอน (Exxon) และเชฟรอน (Chevron) ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซ
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ บีพี (BP) และเชลล์ (Shell) ตัดสินใจชะลอแผนการใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในปีนี้ลงอย่างมาก และหันไปลงทุนในโครงการน้ำมันและก๊าซที่มีอัตรากำไรสูงกว่า
บีพีซึ่งเคยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าถึง 20 เท่า เป็น 50 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้ ได้ประกาศในเดือนธ.ค.ว่าจะโอนโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งเกือบทั้งหมดไปยังบริษัทร่วมทุนกับ เจรา (JERA) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่น
ส่วนเชลล์ซึ่งเคยประกาศว่าจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ได้หยุดการลงทุนใหม่ในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ถอนตัวจากตลาดพลังงานในยุโรปและจีน และลดเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนลง
โรฮาน โบว์วอเตอร์ นักวิเคราะห์จากแอคเซลา รีเสิร์ช (Accela Research) กล่าวว่า สถานการณ์สงครามในยูเครนทำให้บรรดาซีอีโอให้ความสำคัญน้อยลงกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ ท่ามกลางราคาน้ำมันสูง และความคาดหวังของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป”
โบว์วอเตอร์ระบุว่า บริษัทพลังงานอย่างบีพี เชลล์ และอีควินอร์ (Equinor) ลดการใช้จ่ายในโครงการพลังงานคาร์บอนต่ำลง 8% ในปี 2567
อย่างไรก็ตาม เชลล์ได้ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นธุรกิจพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และจะยังคงลงทุนในโครงการเปลี่ยนผ่านพลังงานต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ธ.ค. 67)
Tags: ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ, ธุรกิจน้ำมัน, พลังงานสะอาด, ยุโรป, สภาพอากาศ