ออร์เดอร์พุ่งส่งท้ายปี! ดึงดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ พ.ย. แตะ 91.4 สูงสุดในรอบ 8 เดือน

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนพ.ย.67 อยู่ที่ระดับ 91.4 เพิ่มขึ้นจากระดับ 89.1 ในเดือนต.ค. โดยเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นผลจากที่ผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อในประเทศ และต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี และก่อนวันหยุดต่อเนื่องในเดือนธ.ค.67

ประกอบกับภาคการส่งออก ขยายตัวเร่งขึ้น 14.6% เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบที่ขยายตัวสูง ขณะที่ประเทศคู่ค้าเร่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องจักร และวัตถุดิบ ล่วงหน้าเพื่อรองรับการผลิต และเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าสหรฐฯ ในระยะต่อไป

อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินบาท ยังส่งผลดีต่อภาคการส่งออก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในตลาดโลกเพิ่มขึ้น รวมไปถึง ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 พ.ย.67 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 31.31 ล้านคน ขยายตัว 28% สร้างรายได้ 1.46 ล้านล้านบาท ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้ภาครัฐและเอกชนจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวในทุกภูมิภาค ส่งผลดีต่อการใช้จ่าย และการบริโภคในประเทศ

และอีกปัจจัยที่ส่งผล คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) มีโครงการที่ต่างชาติยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้น 64% มูลค่าการลงทุน 5.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล มีมูลค่าการลงทุน 90,262 ล้านบาท ขยายตัวถึง 13,176% และงบประมาณภาครัฐ ปี 2568 เริ่มมีการเบิกจ่ายแล้ว ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ย. ยังมีปัจจัยลบ จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ กระทบต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจในพื้นที่ คาดการณ์มูลค่าความเสียหายที่ 1.4 พันล้านบาท, ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 14.1% กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ในประเทศ เดือนต.ค.67 อยู่ที่ 37,691 คัน หดตัว 36.08% ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศ

รวมถึงยอดอนุมัติสินเชื่อ SMEs ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6.47 แสนล้านบาท หดตัว 4.6% แสดงให้เห็นว่า SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้น้อยลงจากช่วงก่อนหน้า และยังมีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่เข้ามาแข่งขันในไทยมากขึ้น กดดันยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, พลาสติก, เคมีภัณฑ์, ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 96.7 ปรับตัวลดลงจาก 98.4 ในเดือนต.ค.67 โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังคงห่วงกังวล คือ ความเสี่ยงเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าสู่ประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศโดยเฉพาะ SMEs, นโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท/วัน, ความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานในตลาดโลกผันผวน และกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลก

รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวด้วยว่า ยังมีปัจจัยสนับสนุน ที่คาดว่าจะมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2, มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร, มาตรการแก้หนี้, มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วง High season ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2568, มาตรการตรึงราคาพลังงานของภาครัฐ ทั้งราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.68 รวมถึงการปรับลดค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วย ในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.68

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. เสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง War room เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทย รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายตลาดในสหรัฐฯ

2. เสนอให้ภาครัฐใช้กลไกการปรับขึ้นค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มรายได้ควบคู่กับการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน

3. เสนอให้ภาครัฐส่งเสริมหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของลูกหนี้ดีขึ้น

4. เสนอให้ภาครัฐปรับปรุงกลยุทธ์ในการเจาะตลาดต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้กลไกทูตพาณิชย์ในแต่ละประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางการค้า รวมถึงปรับเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการส่งออก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ตลอดจนกำหนดตัวชี้วัดของโครงการ โดยเน้นประสิทธิภาพในการเจาะตลาด

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ธ.ค. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top