ตามคาด! มติ สว. 153 เสียง ยึดเสียงข้างมากเกณฑ์สองชั้นผ่าน กม.ประชามติ

ในการประชุมวุฒิสภา (สว.) ที่มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ได้มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ที่คณะกรรมาธิการร่วมฯ พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีมติเห็นชอบร่างแก้ไขของวุฒิสภา ที่แก้ไขด้วยเกณฑ์ผ่านประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้เกณฑ์ผ่าน 2 ชั้น คือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ใช้เสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามติ

โดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว.อภิปรายว่า การออกเสียงประชามติข้างมากชั้นเดียวเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เพราะมีไม่กี่ประเทศที่ใช้การออกเสียงประชามติ 2 ชั้นที่สร้างปัญหา มากกว่าข้อดี และรูปแบบรัฐเป็นสหพันธรัฐ เพื่อไม่ให้รัฐใหญ่ใช้พวกมาลากไป แต่ประเทศไทยเป็นรัฐเดียว จึงควรใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว พร้อมยกตัวอย่างการใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น เหมือนการออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 ในปี 2559 ที่กฎหมายเดิมใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ก่อนมีการเปลี่ยนเป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว เพราะเสียงข้างมาก 2 ชั้น ถูกรณรงค์ให้คว่ำง่ายมาก เมื่อ คสช. อยากให้รัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่าน ก็มีการแก้ไขกฎหมายกลับมาใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว

“เมื่อประชาชนอยากมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนบ้าง ก็มีการแก้ไขกฎหมายประชามติ กลับไปใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น เสมือนเวลาโจรอยากมาขึ้นบ้าน ก็เอาบันไดมาพาด พอโจรขึ้นไปแล้ว ไม่อยากให้เจ้าของปีนตามขึ้นไป ก็ถีบบันไดทิ้ง” นายนรเศรษฐ์ กล่าว

ด้าน นางอังคณา นีละไพจิตร สว. อภิปรายว่า ที่ผ่านมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเรื่องประชามติ ล้วนเป็นการทำประชามติแบบเสียงข้างมากปกติทั้งสิ้น และวันนี้ เราตอบคำถามกับประชาชนไม่ได้ว่าทำไมเราถึงใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำไม สว.ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่จะให้กลับมาใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว

ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และประชาชนจับตามอง การแก้ไขให้กลับมาเป็นเสียงข้างมากปกติ จะลดความซับซ้อนของการทำประชามติ และนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับบริบทของสังคม วันนี้บทบาทของวุฒิสภา กำลังถูกจับตามองทั้งจากคนไทย และองค์การระหว่างประเทศ

“หวังว่า สว.จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และระมัดระวัง โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพราะประชาชนกำลังจับตาว่าวุฒิสภากำลังทำอะไร มติจะออกมาอย่างไร การแก้ไขเพื่อใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ถึงแม้ สว.ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับเสียงข้างมาก 2 ชั้น แต่ดิฉันเชื่อมั่นว่า สส. จะยืนยันหลักการแก้ไขให้เป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว แม้จะรอระยะเวลาอีก 6 เดือน จึงจะสามารถประกาศใช้ นั่นไม่เป็นปัญหา และวุฒิสภาอาจจะถูกกล่าวหาว่า การยืนยันให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจจะเป็นเพียงความต้องการที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้าที่ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย” นางอังคณา กล่าว

ขณะที่ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. อภิปรายว่า ร่างกฎหมายประชามติถูกนำมาใช้เป็นเกมการเมือง เพื่อยืดเยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปจนไม่เห็นอนาคต และครั้งนี้ หากวุฒิสภาลงมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น ซึ่งไม่เกินคาดหมาย และทางสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันเป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว ก็จะต้องใช้เวลาพักร่างกฎหมาย 180 วัน ซึ่งจะนานไปถึงกลางปี 2568 อย่างนี้เรียกว่าเกมยืดเยื้อหรือไม่ แล้วทำไมต้องยึดเยื้อ

“เป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจหรือเปล่า ที่หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หลังจากนั้น การลงมติของวุฒิสภาก็ยืดเยื้อไป การลงมติเช่นนี้ เป็นไปตามใบสั่งของใครหรือไม่” น.ส.นันทนา กล่าว

น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า หลักการเสียงเสียงข้างมากชั้นเดียว มีข้อดีมากมาย นักวิชาการจำนวนมากสนับสนุน เพราะเป็นไปตามหลักสากล สมาชิกก็แสดงเหตุผลนับสนุนเสียงข้างมากชั้นเดียวแล้ว แต่มาวันนี้ ตนขอตอกย้ำและยืนยันการลงประชามติด้วยเสียงข้างมากชั้นเดียวอีกครั้ง คืออย่าสองมาตรฐาน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผ่านประชามติมาด้วยเสียงข้างมากชั้นเดียว พอจะแก้ไขทำไมต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น และระบบการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่น เป็นระบบเสียงข้างมากชั้นเดียว ทำไมประชามติจึงต้องแปลกแยก

“ขอถามว่า ประเทศไทยเคยใช้วิธีการเลือกด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้นหรือไม่ และอยากจะบอกว่าอย่าดัดจริต อย่าสองมาตรฐาน เราเป็นราชอาณาจักร ไม่ใช่สหพันธรัฐ หลักการประชาธิปไตยเช่นนี้ ใช้เสียงข้างมากธรรมดา การลงมติของสมาชิกวุฒิสภา จะถูกจดจำไปตลอดว่าท่านเป็นผู้สนับสนุนการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบอารยะ หรือท่านเป็นผู้เหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย” น.ส.นันทนา กล่าว

ด้านนายนิกร จำนง เลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมฯ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้มีรูรั่ว มีช่องว่าง หากสภาฯ พิจารณาแล้วมีข้อสรุปว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ จะใช้เพียงแค่เสียงข้างมากชั้นเดียว จะไม่ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น เช่นเดียวกันกรณีที่รัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นฝ่ายเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะยึดเสียงข้างมากสองชั้น และตนยังมีคำถามว่ากรณีประชาชนเข้าชื่อ 5 หมื่นชื่อเสนอต่อสภาฯ เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ แล้วสภาฯ ส่งต่อไปยัง ครม. ถามว่าต้องใช้หลักเกณฑ์ใดในการออกเสียงประชามติ ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่

“วิปรัฐบาล มีมติไม่เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับคณะกมธ.ร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่า 180 วันรออยู่ โดยนับแต่วันมะรืนนี้ เมื่อครบ 180 วัน ก็จะมีการนำเสนอเพื่อให้สภายืนยัน จากนั้นรอ 3 วัน และ 5 วันเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในส่วนของการออกกฎหมายลูก เข้าใจว่า กกต.น่าจะใช้เวลา 1เดือน พอกฎหมายประกาศใช้ ก็เชิญสำนักงบประมาณมาพูดคุยว่าจะใช้เงินเท่าไร เคาะมติครม. ต้องใช้เวลา 90-120 วัน โดยกระบวนการทั้งหมดประมาณ 10 เดือนครึ่ง ผมคิดว่าเราจะได้ทำประชามติครั้งแรกในเดือน มค.69 จากนั้นเดือน ก.พ.จึงจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256

ด้งนั้น เรื่องที่ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 70 ลืมไปได้เลย เหมือนจะให้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันตก เกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในเดือน เม.ย.69 คาดว่ามาตรา 256 จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา หาก สว.ไม่ให้ผ่าน ซึ่งช่วงนั้นสภาฯ ปิด ก็ต้องรอวันที่ 3 ก.ค. เปิดสมัยประชุมสุดท้าย ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ทัน เท่ากับ สสร.ก็ไม่ได้ ถามว่าท่านจะแบกรับไหวหรือไม่” นายนิกร กล่าว

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการร่วมฯ ชี้แจงว่า หลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นในการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เสี่ยงเปิดช่องให้เกิดความไม่เป็นธรรม ทำให้ฝ่ายที่ไม่อยากให้ประชามติผ่าน มีช่องทางใหม่เอาชนะการทำประชามติ แทนที่จะเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิลงคะแนนไม่เห็นด้วย ก็ไปรณรงค์ให้ประชาชนนอนอยู่กับบ้าน ก็สามารถคว่ำประชามติได้

นอกจากนี้ ที่ตลกร้ายไปกว่านั้น เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะทำให้ประชาชนมาใช้สิทธิออกเสียงน้อย เพราไม่อยากให้ประชามติผ่าน ขัดกับหลักการเสียงข้างมาก 2 ชั้น ที่อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเยอะๆ การลงมติของ สว.หากต้องการยืนยันเสียงข้างมาก 2 ชั้น ขอให้ลงมติสนับสนุนด้วยใจจริง อย่าลงมติเพียงเพื่อต้องการใช้กลไก ยุทธศาสตร์ชะลอหรือขัดขวาง เพราะไม่อยากให้การแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ

ขณะที่ นายพิศิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว.ในฐานะกรรมาธิการร่วมฯ ชี้แจงว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชนของนิด้าโพล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนหลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นในการทำประชามติ มีเสียงเห็นด้วย 51.4% สนับสนุนให้ต้องมีผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงในการทำประชามติ และเสียงอีก 59.84% เห็นด้วยจะต้องมีเสียงเห็นชอบทำประชามติเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง

ขอยืนยันว่า สว.ไม่มีเกมการเมืองในการยื้อแก้รัฐธรรมนูญ สว.ทุกคนมีอิสระในการคิด เลือก ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง การระบุว่า หากกฎหมายประชามติ ต้องยื้อการบังคับใช้ออกไป 180 วัน อาจมีรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ทันการเลือกตั้งปี 2570 นั้น ถามว่าใครเป็นผู้กำหนดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นปี 2570 และถ้าใช้รัฐธรรมนูญใหม่ไม่ทันจริง ๆ จะมีผลกระทบอะไรต่อประชาชน ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรอง

ส่วนการระบุว่า การใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น เป็นการรณรงค์ให้คนนอนหลับทับสิทธิ์นั้น นายพิศิษฐ์ ไม่เชื่อว่าจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้แน่ เพราะบ่งบอกความไม่เป็นประชาธิปไตย สว.ไม่ต้องการพ.ร.บ.ประชามติที่ดีที่สุด แต่ต้องการได้พ.ร.บ.ประชามติที่ยืดหยุ่น สามารถนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ เสียงข้างมาก 2ชั้น จะใช้เฉพาะกรณีแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว

อย่างไรก็ดี ภายหลังจาก สว.ได้อภิปรายแสดงความเห็นครบถ้วนแล้ว ได้มีการลงมติ ผลปรากฎว่ามติวุฒิสภา 153 เสียงเห็นด้วยกับกรรมาธิการร่วม ต่อ 24 เสียง และงดออกเสียง 13 เสียง ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไปต้องรอให้สภาผู้แทนราษฎร ลงมติในรายงานของกรรมาธิการร่วม ซึ่งสภาฯ ได้นัดลงมติวันที่ 18 ธ.ค.นี้ หาก สส. ลงมติแย้งกับ สว. จะเป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ (ฉบับแก้ไข) ต้องถูกยับยั้งไว้เป็นเวลา 180 วัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top