คณะบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ (แผงโซลาร์เซล) และโพลีซิลิคอนจากจีน ซึ่งเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดให้สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ก่อนที่ปธน.ไบเดนจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนหน้า
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ (USTR) ได้ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลและโพลีซิลิคอนจากจีนสู่ระดับ 50% และปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ทังสเตนขึ้นสู่ระดับ 25% โดยมาตรการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2568
แคทเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า การเพิ่มภาษีศุลกากรดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโต้ “นโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เป็นอันตราย” ของจีน และยังมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดภายในประเทศที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารของปธน.ไบเดน ซึ่งจะส่งเสริม “เศรษฐกิจพลังงานสะอาด” และ “ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ”
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ คนใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2568
ทั้งนี้ การปรับขึ้นภาษีศุลกากรทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งบังคับใช้ในปี 2517 โดยกฎหมายอนุญาตให้รัฐบาลสามารถเรียกเก็บภาษีกับประเทศที่ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 67)
Tags: จีน, พลังงานแสงอาทิตย์, สหรัฐ, แผงโซลาร์เซลล์, โจ ไบเดน, โพลีซิลิคอน