TTB ระบุผู้ประกอบการไทยยังเปราะบางเสี่ยงติดเชื้อกลายเป็น “Zombie Firm” กำไรไม่พอจ่ายดอกเบี้ย

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มีมุมมองว่า ปัจจุบัน สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นผ่านรายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนในไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย โดยในปี 66 ประมาณการรายได้ของบริษัทจดทะเบียนในไทยสูงแตะ 54.2 ล้านล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 5 ปีย้อนหลัง (CAGR) เฉลี่ยที่ 5.5%

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตดังกล่าว อาจจะไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการแฝงตัวของบริษัทที่แม้จะยังมีการประกอบกิจการและรับรู้รายได้อยู่ แต่มีผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการที่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนทางการเงินอันอาจส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้ แม้จะยังดำเนินธุรกิจอยู่ก็ตาม แต่ก็ทำไปโดยปราศจากจิตวิญญาณ หรือเรียกในทางเทคนิคว่า Zombie Firm หรือบริษัทซอมบี้

“เป็นเรื่องน่าสนใจที่ไทยอาจต้องเริ่มใช้แว่นขยาย เพื่อส่องการเติบโตของภาคธุรกิจในบริษัทจดทะเบียนที่มองด้วยตาเปล่าอาจเห็นเป็นภาพที่สดใส แต่หากเพ่งด้วยแว่นขยายอาจพบว่าการเติบโตที่เป็นอยู่อาจไม่ยั่งยืนอย่างที่เห็น ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนของไทยในระยะยาวอาจพลิกกลับหดตัวได้อย่างไม่คาดคิด” บทวิเคราะห์ ระบุ

ทั้งนี้ การระบุบริษัทซอมบี้ในทางสากล มักวิเคราะห์ผ่านอัตราความสามารถของบริษัทในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio หรือ ICR) ที่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งแสดงถึงบริษัทที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้

โดย ttb analytics ได้ทำการศึกษาผ่านกลุ่มตัวอย่างที่มีงบการเงินที่มีความน่าเชื่อถือกว่า 5.4 หมื่นราย พบว่ามีบริษัทตกอยู่ในภาวะกำไรไม่พอชำระดอกเบี้ย หรือเรียกว่าบริษัทซอมบี้ (Zombie Firm) ในสัดส่วนกว่า 9.5% ของทั้งหมด โดยส่วนใหญ่แฝงตัวอยู่ในธุรกิจ SMEs สูงกว่าองค์กรขนาดใหญ่อย่างมีนัย

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาลึกลงไปจะพบการกระจายตัวของจำนวนบริษัทที่กำไรไม่พอชำระดอกเบี้ยจ่ายมีการกระจุกตัวในแต่ละอุตสาหกรรมต่างกันไป ดังนี้

1. อุตสาหกรรมที่มีการกระจุกตัวของ Zombie Firm สูง ลักษณะของธุรกิจในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้มีสัดส่วนต้นทุนคงที่สูงและไม่สามารถปรับลดต้นทุน เพื่อรองรับการหดตัวของอุปสงค์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น อุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ จากการลงทุนในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่มีสภาพคล่องต่ำแต่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

2. อุตสาหกรรมที่มีการกระจุกตัวของ Zombie Firm ต่ำ ลักษณะของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ มีอัตราส่วนกำไรที่ดี และมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาและรายได้ที่ต่ำจากการเป็นสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีพ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมด้านสาธารณูปโภค ที่ไม่ได้รับผลกระทบแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาสัดส่วน Zombie Firm ในมิติต่าง ๆ ก็เป็นเพียงการฉายภาพให้เห็นถึงสัดส่วนกลุ่มสถานะทางการเงินล้มเหลวที่สายเกินกว่าจะแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ และมีความเป็นได้ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จากเจ้าหนี้หรือเลิกกิจการ สถานการณ์เช่นนี้ อาจไม่ได้ช่วยให้ไทยตระหนักถึงความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่ภายใต้บริษัทที่ยังไม่เข้าเกณฑ์

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับโฟกัสไปยังกลุ่มที่เริ่มมีความน่ากังวล หรือบริษัทที่เริ่ม “ติดเชื้อ” ที่เมื่อสถานการณ์ทางการเงินแย่ลงอาจกลายสถานะเป็นบริษัทซอมบี้ในอนาคตมากขึ้น ซึ่งหากบริษัทเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมอาจช่วยให้กลุ่มบริษัทที่ติดเชื้อกลับมามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงได้อีกครั้ง

สำหรับการจำแนกบริษัทติดเชื้อ ttb analytics มีมุมมองว่า ควรใช้การวิเคราะห์ที่คล้ายคลึงกับการจำแนกบริษัทซอมบี้ข้างต้น กล่าวคือบริษัทที่ประสบปัญหากำไรไม่เพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ยจ่าย (ICR ต่ำกว่า 1) ในปีงบการเงิน 2 ปีติดต่อกัน หรือ ประสบปัญหาดอกเบี้ยจ่ายมีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของกำไร (ICR อยู่ในช่วงระหว่าง 1-2) ในปีงบการเงิน 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งพบว่า มีบริษัทที่เริ่มเข้าเกณฑ์ดังกล่าวในสัดส่วนกว่า 35.5% และส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจ SMEs เป็นหลัก

โดยหากสถานการณ์ในการประกอบธุรกิจแย่ลง อาจส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้เข้าสู่สภาวะของกำไรที่หามาไม่พอกับดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งการวิเคราะห์สภาพการประกอบกิจการได้ใช้มิติของยอดขาย (Sale Trend) และความสามารถในการสร้างกำไร (Profitability) เพื่อชี้วัดถึงสัดส่วนจำนวนบริษัทติดเชื้อในแต่ละอุตสาหกรรมว่า มีผู้ประกอบการในสัดส่วนเท่าไรที่มีผลการดำเนินธุรกิจ (Sale Trend & Profitability) ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ที่อาจส่งผลให้มีความเป็นไปได้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านั้นอาจได้รับแรงกดดันจากการที่ผู้ประกอบการกลายเป็น Zombie Firm ในอนาคต

ทั้งนี้ สามารถแบ่งระดับความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้เป็นดังนี้

1. อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเป็น Zombie Firm สูง จากแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่ร่วงโรย (Sunset Industry) ที่มีแนวโน้มผลประกอบการอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมสินค้าแฟชั่น และอุตสาหกรรมกระดาษและสิ่งพิมพ์ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้าสู่ช่วงขาลงของระดับราคาสินค้าที่ส่งผลต่อการขาดทุนในสินค้าคงคลัง เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก และเคมีภัณฑ์

2. อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเป็น Zombie Firm ต่ำ เช่น อุตสาหกรรมโรงแรมและท่องเที่ยว เนื่องจากการหดตัวที่ผ่านมาจากวิกฤตโควิด-19 เป็นตัวทดสอบสำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพน้อยกลายเป็นกลุ่ม Zombie Firm ไปแล้ว ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ยังเหลือรอดอยู่ส่วนใหญ่จึงมีผลประกอบการที่ค่อนข้างเข้มแข็ง และได้รับผลบวกเพิ่มเติมจากภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว

ในขณะที่อุตสาหกรรมพลังงาน เป็นกลุ่มที่สามารถส่งผ่านราคาจากลักษณะสินค้าที่มีความจำเป็นและอัตราการหมุนเวียนของการขายที่สูง ช่วยลดการขาดทุนสินค้าคงคลัง และอุตสาหกรรมเกษตรที่ยุคปัจจุบันภาคเกษตรเป็นกลุ่มที่น่าจับตาและสามารถสร้างพื้นที่กำไรได้ค่อนข้างสูงและมีข้อได้เปรียบจากพื้นที่เพาะปลูกเฉพาะรายประเทศ

โดยสรุป แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอยู่ อย่างไรก็ตาม ในการมองการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพควรคำนึงถึงอัตราการอยู่รอดทางธุรกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ซึ่งหากพิจารณาถึงประเด็นการแฝงตัวของ Zombie Firm เพียงอย่างเดียวที่มีสัดส่วนในภาพรวมถึง 9.5% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจยังไม่สะท้อนภาพความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องมองลึกต่อไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเปราะบาง หรือบริษัท “ติดเชื้อ” ที่เมื่อสถานการณ์ทางการเงินแย่ลงอาจกลายสถานะเป็นบริษัทซอมบี้ในอนาคตมากขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 35.5% จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มบริษัทที่พอมีศักยภาพให้เร่งปรับตัวไปต่อ ช่วยลดอัตราการเข้าสู่สภาวะ Zombie Firm และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top