นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีอ่อนตัวลง จากความวุ่นวายทางการเมืองในเกาหลีใต้เมื่อคืนนี้กระทบบรรยากาศลงทุนในภูมิภาค และอาจกระทบหุ้นรายตัวในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ Sentiment ตลาดหุ้นต่างประเทศยังค่อนข้างดี หลังสหรัฐเปิดตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาดดันตลาดหุ้นทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังรอติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคกการเกษตรของสหรัฐวันศุกร์นี้ โดยวันนี้ให้กรอบแนวรับ 1,448-1,450 จุด ถัดไป 1,430 จุด และแนวต้าน 1,460 จุด ถัดไป 1,470 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีอ่อนตัวลง จากความวุ่นวายทางการเมืองในเกาหลีใต้ ซึ่งอาจกระทบบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยอาจได้รับผลกระทบจำกัดในหุ้นรายตัว อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์บางตัว รวมถึงอาจมีผลกระทบในแง่ของนักท่องเที่ยวเกาหลีที่จะเข้าไทยช่วงนี้อาจน้อยลง แต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ในไทยก็ไม่ได้สูงมากนัก
ขณะที่ Sentiment ในตลาดต่างประเทศยังค่อนข้างดี หลังการจากเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด ประกอบกับ นโยบายที่จะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งผลให้เม็ดเงินไหลกลับสหรัฐทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังรอติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้
พร้อมทั้งให้กรอบแนวรับ 1,448-1,450 จุด ถัดไป 1,430 จุด และแนวต้าน 1,460 จุด ถัดไป 1,470 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (3 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,705.53 จุด ลดลง 76.47 จุด หรือ -0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,049.88 จุด เพิ่มขึ้น 2.73 จุด หรือ +0.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,480.91 จุด เพิ่มขึ้น 76.96 จุด หรือ +0.40%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 19,722.15 จุด ลดลง 24.17 จุด หรือ -0.12% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,376.57 จุด ลดลง 2.24 จุด หรือ -0.06% และดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ 39,354.00 จุด เพิ่มขึ้น 105.14 จุด หรือ +0.27%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 ธ.ค.) ที่ 1,454.75 จุด เพิ่มขึ้น 17.65 จุด (+1.23%) มูลค่าซื้อขาย 46,734.89 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,407.87 ล้านบาท (3 ธ.ค.)
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. (3 ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 1.84 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 69.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 ธ.ค.) อยู่ที่ 6.41 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 34.36 แข็งค่าจากวานนี้ เกาะติดตัวเลขเงินเฟ้อไทย-ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
– “พิชัย” รองนายกฯ และรมว.คลัง สั่งหน่วยงานในสังกัดเร่งพิจารณาปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากปัจจุบันเก็บที่ 20% อาจลงมาเหลือ 15% เช่นเดียวกับหลายประเทศ หวังเพิ่มความสามารถการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ย้ำอยากเห็นกนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพื่อช่วยบริษัทขนาดกลางลดต้นทุนการเงิน ด้านบล.บัวหลวง ชี้หากลดภาษีฯ ลงมาจะช่วยเพิ่มกำไรบจ. ความคึกคักให้กับตลาดหุ้น
– ซีอีโอ “เอ็นวิเดีย” พบนายกฯ วานนี้ เซ็นเอ็มโอยูความร่วมมือไทยกับยักษ์ใหญ่ชิประดับโลก กรุยทางสู่ฮับ AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนวันนี้จับตา “เจนเซน หวง” ประกาศแผนลงทุนใหญ่ในไทย
– ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในวันที่ 11 ธ.ค.2567 จะมีการประกาศมาตรการแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอีเพิ่มเติม ส่วนรายละเอียดของมาตรการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จึงอยากขอให้รอแถลงความครบถ้วนอีกครั้งในวันดังกล่าว
– ครม.ไฟเขียวร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ….กระทรวงคมนาคม เดินหน้าเสนอสภาฯ พิจารณาภายในเดือนธ.ค.นี้ ลุยตั้งกองทุนตั๋วร่วมชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารรถไฟฟ้า หนุนเป้าหมายเก็บ 20 บาทตลอดสายทุกสายทางภายในก.ย. 68
– “เผ่าภูมิ” เผย “หวยเกษียณ” กฎหมายผ่านครม.แล้ว เร่งให้กฤษฎีกาตรวจร่างก่อนชงเข้าสภาพิจารณา ย้ำข้อดีเป็น “หวยพิเศษ” ที่คนซื้อไม่มีวันถูกหวยกิน คนสูงอายุเกิน 60 ปีซื้อได้ โดยออมทิ้งไว้ 10 ปี นับจากวันที่ซื้อวันแรก ด้านบอร์ดกอช.เล็งเปิดทางภาคเอกชนกระโดดร่วมวงขายสลาก
– ตลท. เดินหน้าความยั่งยืน ทั้งในและนอกองค์กร ชูมีทุกแพลตฟอร์มสนับสนุน “ตลาดคาร์บอนเครดิต” สร้างระบบนิเวศ “SET Carbon” สู่เป้าหมาย “เน็ต ซีโร่” ปี 93 ดึง FTSE Russell ยกระดับประเมินความยั่งยืน SET ESG Ratings สู่มาตรฐานสากล ฟื้นเชื่อมั่นนักลงทุน เน้นประเมินข้อมูลที่บจ. เปิดเผยสู่สาธารณะคาดเริ่มใช้ปี 69 ตั้งเป้าดึง 350-400 บริษัทเข้าร่วม
– ผลการสำรวจโพล ส.อ.ท. (FTI CEO Poll) ภายใต้หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0” ซึ่งพบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่กังวลต่อนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับปานกลาง เนื่องจากยังต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความชัดเจนอย่างไรหลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.68 และภายใต้นโยบาย America First ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60% ซึ่งผู้บริหาร ส.อ.ท.กังวลต่อผลกระทบทางอ้อมจากการที่จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ จะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
หุ้นเด่นวันนี้
– CRC (กสิกรไทย) “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของ CRC จากการกลับมาเปิดให้บริการของห้างสรรพสินค้าหลักสองแห่งหลังการปรับปรุง ได้แก่ เซ็นทรัลชิดลมที่จะจัดงานเปิดตัวใหญ่ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ และห้าง Rinascente ที่มิลานที่จะเปิดในช่วงเทศกาลสำคัญ ขณะที่ไตรมาส 4/2567 กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจค้าปลีก นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะยังคงควบคุมได้อย่างเข้มงวดในปีหน้า อีกทั้งคาดว่า CRC จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปีหน้า เนื่องจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 90% เป็นอัตราลอยตัว แม้ว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในสองเดือนแรกของไตรมาส 4 จะติดลบ แต่คาดว่าปีหน้าจะกลับมาเติบโตได้ 14% โดยปัจจุบันมีมูลค่าที่ไม่สูงมากนัก
– MTC (เมย์แบงก์) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท กำไรเติบโตดีตามการขยายตัวสินเชื่อ และควบคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อที่ดีและคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ โดยสัดส่วน NPL และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) คาดลดลง เนื่องมาจาก การปรับปรุงประสิทธิภาพของพนักงานและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐฯ สอดรับไปกับในเดือนต.ค.ที่ผ่านมามีสัญญาณบวกจากการจัดเก็บหนี้ที่ยังทำได้ดี ในภาพรวมของทั้งปีเราคาดว่ากำไรจะเติบโต 17%YoY บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อที่ 15% ต่อปีในปี 67-68 นำโดย สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์ เราเชื่อว่าสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาด จากทั้งบริษัทที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ โดยคาดกำไรปี 68 จะขยายตัว 177.4%YoY
– CHG (ฟินันเซียไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 3.80 บาท สมาคมรพ.และสปส.จะประชุมกันวันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปส่าหรับการจ่ายค่ารักษาโรคยาก RW>2 และดาดว่าจะมีการประกันการจ่ายที่ระดับ 12,000 บาท/AdjRW ในปี 68 ซึ่งเราคาดว่าจะทำให้ตลาดปลดดล็อคความกังวล แม้ส่วนของปี 67 มีโอกาสที่จะบันทึกต่ำกว่าใน 4Q67 เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเดิบโตของ CHG ทั้งในส่วนรพ.หลักเดิม รวมถึงผลขาดทุนที่น้อยลงของรพ. CHG แม่สอด คาดกำไรปี 68 โต 15% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด 2025PER เพียง 21 เท่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 67)
Tags: ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย