นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ร่วมประกาศความสำเร็จ ในโอกาสที่ไทยสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
หลังจากที่ EFTA Secretariat ได้ประกาศความสำเร็จของการเจรจาความตกลงการค้าเสรี เอฟตา-ไทย ที่ครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้เร่งดำเนินการเจรจาจัดทำ FTA กับประเทศคู่ค้าไทยต่าง ๆ ให้สำเร็จ เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการ สร้างแต้มต่อทางการค้าให้ผู้ประกอบการของไทย รวมทั้งดึงดูดต่างชาติมาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าหน่วยงานต่างชาติใดมาพบปะหารือกับรัฐบาลไทย ก็จะสนับสนุนการเจรจาเอฟทีเอ อาทิ คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน ที่ส่งเสริมให้ไทยเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญ อาทิ เอฟตา สหภาพยุโรป แคนาดา
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้สรุปผลการเจรจา FTA กับเอฟตาได้สำเร็จ โดยได้ข้อสรุปทุกประเด็นภายใต้การเจรจาทั้งหมด 15 เรื่อง ได้แก่ 1) การค้าสินค้า 2) กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 3) การอำนวยความสะดวกทางการค้า 4)มาตรการเยียวยาทางการค้า 5) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช 6) มาตรการอุปสรรคเทคนิคต่อการค้า 7) การค้าบริการ 8) การลงทุน 9) ทรัพย์สินทางปัญญา 10) การแข่งขัน 11) การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 12) การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน (ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อมและแรงงาน) 13) ความร่วมมือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างศักยภาพ 14) ประเด็นกฎหมายและการระงับข้อพิพาท และ 15) วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs)
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ใช้เวลา 2 ปี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายประกาศเริ่มต้นการเจรจาในปี 2565 ถือเป็นความสำเร็จตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการเร่งขยายโอกาสทางการค้า และการลงทุนกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ผ่านการจัดทำ FTA เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า อำนวยความสะดวกกับภาคธุรกิจ ยกระดับมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน รวมถึงกระชับความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
นายพิชัย เพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในการจัดทำ FTA ฉบับนี้ ถือเป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การค้าไทย เนื่องจากเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป มีความทันสมัย มาตรฐานสูง สอดคล้องกับพัฒนาการของกฎเกณฑ์การค้ายุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะปูทางไปสู่การเจรจาจัดทำ FTA กับคู่ค้าสำคัญอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป เพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
ในขั้นต่อไป กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะนำผลการเจรจาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเตรียมการลงนาม FTA ฉบับนี้ ร่วมกับประเทศสมาชิกเอฟตา ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี และตนจะเดินทางเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากนั้น รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอความตกลงฉบับนี้ต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ประเทศไทยจะให้สัตยาบันเพื่อให้ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
“หลังจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะได้เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ขอให้มั่นใจว่า วันนี้สถานการณ์การค้าการลงทุนของประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง และ FTA ไทย-เอฟตาฉบับนี้ ก็จะมีส่วนในการผลักดันการค้าของเราให้มั่งคั่งยิ่งขึ้นไป” นายพิชัยกล่าว
ทั้งนี้ ปี 2567 (ม.ค.-ต.ค) ไทยกับเอฟตา มีมูลค่าการค้ารวม 10,293.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.03% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.22% โดยไทยส่งออกไปเอฟตา 3,787.97ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากเอฟตา 6,505.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผลิตภัณฑ์พลาสติกและ ข้าว
สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ นาฬิกาและส่วนประกอบเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ เครื่องประดับอัญมณี และสัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งแปรรูป และกึ่งสำเร็จรูป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ย. 67)
Tags: FTA, กระทรวงพาณิชย์, พิชัย นริพทะพันธุ์, เอฟตา