นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศมาตรการด้านเศรษฐกิจว่า เป็นเรื่องดี โดยให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ประกาศออกมายังไม่ครอบคลุม และไม่ทั่วถึง โดยระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยกำลังเป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ แต่มาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลกลับไม่ครอบคลุมถึงหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น NPL ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท หรือแม้กระทั่งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งหนี้เหล่านี้มีอัตราดอกเบี้ยสูง และยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้นอกระบบที่อาจมีมูลค่าแตะ 3.97 ล้านล้านบาท (อ้างอิงข้อมูลจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)
ขณะเดียวกัน ยังตีกรอบแคบช่วยเหลือเฉพาะลูกหนี้ที่มีปัญหาไม่เกิน 1 ปี ทิ้ง SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดที่มียอดเสียกว่า 5 ล้านบัญชี มูลหนี้รวม 3.8 แสนล้านบาท เนื่องจาก SMEs ถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสร้างมูลค่ากว่า 6.1 ล้านล้านบาท (35.2% ของ GDP) และมีจ้างงานถึง 28 ล้านคน (70% ของการจ้างงาน) การละเลย SMEs เท่ากับทำลายฐานเศรษฐกิจของประเทศ
นายอุตตม กล่าวว่า แนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ต้องทำครบวงจร นำหนี้ของลูกหนี้ทุกประเภท ทั้งหนี้ธุรกิจ หนี้ครัวเรือน หนี้การเกษตร/สหกรณ์ และหนี้นอกระบบ มารวมกันแล้วกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ดึงทุกหน่วยงานเข้าร่วมแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ปรับโครงสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดอัตราดอกเบี้ยและการชำระหนี้ให้ยืดหยุ่น และสอดคล้องศักยภาพรายได้ พร้อมเติมทุนใหม่ พัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
“การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน ควรเดินคู่กับการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ประชาชนฐานราก และ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย ต้นทุนกู้เงินต่ำลง” นายอุตตม กล่าว
ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการฯ กล่าวถึงการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างการเงินที่ลักลั่น ส่งผลให้ประชาชนฐานรากและ SMEs เข้าถึงสินเชื่อยาก ปัจจุบันอัตราอนุมัติสินเชื่อวงเงินเล็กหดตัว -4.6% (Q3/2567) และ SMEs กว่า 50% ขาดโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยสูงสุดถึง 7% เช่นเดียวกับส่วนต่างดอกเบี้ยรายย่อยเงินฝาก-เงินกู้ของธนาคารไทยสูงถึง 7% ส่วนหนึ่งส่งผลให้กำไรปี 2566 ของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ทะลุ 226,571 ล้านบาท คาดปี 2567 ก็ไม่ต่างกัน ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปธนาคารเพื่อประชาชน
“ปัญหาเหล่านี้ สะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการระบบการเงิน ซึ่งยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้” นายธีรชัย กล่าว
ส่วนการปฏิรูประบบสถาบันการเงินต้องมี 3 มาตรการสำคัญด้วยกัน ได้แก่
1) เพิ่มการแข่งขันในตลาดสถาบันการเงิน ด้วยการพิจารณาอนุมัติจัดตั้งธนาคารท้องถิ่น (Regional Bank) เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในพื้นที่ชนบท เพราะจะเข้าใจข้อมูลเฉพาะตัวของลูกหนี้ในท้องถิ่นได้ดีกว่า และพิจารณาอนุญาตให้ธนาคารต่างชาติ เข้ามาจัดตั้งสาขาในประเทศไทย เพื่อลดการผูกขาดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
2) เปิดประตูกว้าง สร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับประชาชนฐานรากและ SMEs ด้วยการกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ลดมาตรฐานเครดิตสกอร์ พร้อมนำข้อมูลประวัติการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ มาประกอบการอนุมัติสินเชื่อ เพื่อให้ประชาชนฐานรากสามารถกู้ยืมได้ง่ายขึ้น และรัฐบาลให้ บสย. ค้ำประกันหนี้กรณีพิเศษให้แก่คนตัวเล็ก และ SMEs ในสัดส่วน 80% วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ต้องกู้หนี้เพื่อลงทุนใหม่ พร้อมจัดตั้งกองทุน Startup Fund เพื่อส่งเสริมการเริ่มต้นธุรกิจใหม่
3) ลดส่วนต่างดอกเบี้ยเพื่อความเป็นธรรม ด้วยการจัดเก็บภาษีลาภลอยชั่วคราว (Windfall Tax) กับธนาคารที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงเกินกำหนด โดยนำรายได้จากภาษีนี้ไปสนับสนุนโครงการช่วยเหลือประชาชนฐานราก
ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความจริงจัง จริงใจ และเร่งดำเนินการปฏิรูประบบสถาบันการเงินเพื่อความเป็นธรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของคนไทยทุกคน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ย. 67)
Tags: พรรคพลังประชารัฐ, อุตตม สาวนายน, เศรษฐกิจไทย