นีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า นโยบายภาษีการค้าของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อในระยะยาวย่ำแย่ลงอีก หากบรรดาประเทศคู่ค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ ใช้มาตรการตอบโต้
แคชคารีให้สัมภาษณ์ในรายการ “Face the Nation” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) ว่า “การเก็บภาษีนำเข้าครั้งเดียวอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะยาว แต่ความท้าทายอาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีการตอบโต้กันไปมา โดยเมื่อประเทศหนึ่งเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้า และอีกประเทศตอบโต้กลับ จนส่งผลให้สถานการณ์บานปลาย นั่นคือสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า และถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือว่าเรื่องนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก”
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น ทรัมป์ได้จุดชนวนสงครามการค้ากับจีน โดยเขาประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนหลายรายการ ซึ่งส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน
ส่วนหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจหลักที่ทรัมป์ประกาศว่าจะนำมาใช้เมื่อเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองคือ การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ โดยเฉพาะกับจีนที่จะเรียกเก็บในอัตรา 60%
ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท รวมทั้งผู้นำในแวดวงอุตสาหกรรมต่างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่งเริ่มชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
แคชคารีกล่าวว่า “เราได้มีความคืบหน้าอย่างมากในการฉุดเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลง” พร้อมกับกล่าวว่า “ผมยังไม่อยากประกาศว่าเราชนะเงินเฟ้อแล้ว เราจำเป็นต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น แต่ตอนนี้เรากำลังอยู่ในเส้นทางที่ดี”
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (7 พ.ย.) คณะกรรมการเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% ของเฟด ขณะที่แคชคารีกล่าวว่าเขาคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. แต่การดำเนินการดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลจะออกมาเช่นไรในช่วงเวลานั้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ย. 67)
Tags: ธนาคารกลางสหรัฐ, เงินเฟ้อ, เฟด, โดนัลด์ ทรัมป์