ม.หอการค้าไทย มองแจกเงิน 1 หมื่นยังไม่กระตุ้นศก. แนะเร่งเติมมาตรการเพิ่ม

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 67 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และบัตรผู้พิการ จำนวน 10,000 บาท จำนวน 14.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรไทย พบว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟส 1 ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากพอ โดยกลุ่มตัวอย่างกว่า 75% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป สะท้อนว่าประชาชนยังไม่เห็นอนาคตที่โดดเด่นว่า ปีใหม่เศรษฐกิจจะฟื้น

ดังนั้น รัฐบาลควรต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4/67 และไตรมาส 1/68 ตามที่ภาคเอกชนเสนอ เนื่องจากโมเมนตัมหรือแรงเหวี่ยงเศรษฐกิจช่วงขาขึ้นเริ่มปรากฏให้เห็นบ้าง เพราะน้ำท่วมคลายหมดแล้ว ทำให้ปัจจัยเชิงลบหายไป

ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลมีมาตรการ Easy e-Receipt เข้ามาหนุนให้ประชาชนที่ต้องการลดหย่อนภาษี และใช้จ่ายในวงเงินได้ 30,000-50,000 บาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินหมุนเวียนช่วงปลายปีโดยรัฐบาลไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินเลยในปัจจุบัน แต่ไปเสียรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่จะได้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านบาทในช่วงปลายปี

นอกจากนี้ ถ้าในช่วงไตรมาสที่ 1/68 หลังจากเทศกาลตรุษจีน ช่วงระหว่างรอเทศกาลสงกรานต์ หรือประมาณเดือนก.พ.-มี.ค. ถ้าอัดเม็ดเงินคูณ 2 หรือคนละครึ่งเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะใช้เงินลดลงไปครึ่งหนึ่ง ถ้าใช้เงินทำมาตรการคนละครึ่ง 50,000 ล้านบาท ระบบเศรษฐกิจจะหมุน 100,000 ล้านบาท ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตรอความชัดเจนจากรัฐบาล

ส่วนเรื่องนโยบายการเงิน ที่ปัจจุบันมีเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประสานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ทั้งระบบเหลือ 0.23% และใช้ในการแก้ปัญหาหนี้ของภาคธุรกิจที่สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้และภาระลดดอกเบี้ยจ่ายได้ น่าจะหนุนนำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องมากขึ้น และจะพร้อมในการฟื้นช่วงต้นปี พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มมีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ยเชิงนโยบาย

โดยมองว่า นโยบายผสมผสานเหล่านี้ถ้ารัฐบาลทำออกมาน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีสัญญาณฟื้นตัวที่โดดเด่นในปลายไตรมาส 1/68 และต้นไตรมาส 2/68 ได้ และถ้ามีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนมีโอกาสที่ GDP ปี 68 โต 3.0-3.5% ได้

ส่วนประเด็นเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั้งโลกกังวลว่า ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี จะทำให้โลกโตช้ากว่านางคามาลา แฮร์ริส เนื่องจากทรัมป์ จะมีแนวคิดเป็นของตนเอง คิดจะหักเลี้ยวก็พร้อมหักเลย ต่างจากแฮร์ริส ที่จะประคองให้โลกไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก และหากทรัมป์ได้ครองสภาทั้งบนและล่าง และได้ป็อปปูล่าโหวต ทรัมป์ก็จะทำงานง่าย และจะปฏิบัติการเร็วและแรง ในการตอบโต้ทางการค้ากับจีน

สำหรับผลกระทบต่อไทย เชื่อว่าไทยน่าจะประคองและปรับตัวได้ แต่การส่งออกไทยไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอาจย่อลง แต่การค้าขายในเอเชียด้วยกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไทยจะได้อานิสงส์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประเทศจีน จากการย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น ขณะที่สงครามการค้า นายธนวรรธน์ มองว่า ถ้าเกิดก็น่าจะเกิดปีหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 67)

Tags:
Back to Top