หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าลุ้นขึ้นทดสอบ 1,500 จุดอีกครั้ง ตัวเลขศก.สหรัฐดีกว่าคาด-เกาะติดเลือกตั้งปธน.

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ลุ้นปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,500 จุดอีกครั้ง เป็นไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ได้แรงส่งจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคบริการปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 จากระดับ 54.9 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.8

ขณะที่นักลงทุนกลับมารอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง โดยล่าสุดในหลายรัฐก็ได้ปิดหีบการเลือกตั้งแล้ว ทั้งนี้ยังต้องจับตาไปที่รัฐสมรภูมิ (swing state) 7 รัฐ เนื่องจากผล สำรวจคะแนนนิยม นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสชนะ 5 ใน 7 รัฐ ส่งผลให้ภาพรวมทรัมป์มีโอกาสชนะเลือกตั้งในครั้งนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตามมองว่าหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนในะระยะสั้น และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์บางจุด เช่น การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยมากขึ้น เป็นต้น และไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คาดตลาดหุ้นไทยเลือกที่จะขึ้นมากกว่าลง

ให้แนวรับที่ 1,470 จุด และแนวต้าน 1,500 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (5 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,221.88 จุด เพิ่มขึ้น 427.28 จุด หรือ +1.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,782.76 จุด เพิ่มขึ้น 70.07 จุด หรือ +1.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,439.17 จุด เพิ่มขึ้น 259.19 จุด หรือ +1.43%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 38,677.95 จุด เพิ่มขึ้น 203.05 จุด หรือ +0.53%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,791.80 จุด เพิ่มขึ้น 215.17 จุด หรือ +1.02% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,395.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ +0.24%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 พ.ย.) ที่ 1,481.67 จุด เพิ่มขึ้น 18.72 จุด (+1.28%) มูลค่าซื้อขายราว 39,319.46 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,442.95 ล้านบาท (5 พ.ย.)

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. (5 พ.ย.) เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 71.99 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 พ.ย.) อยู่ที่ 6.72 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.70 แนวโน้มผันผวนในกรอบ 33.55-33.80 ลุ้นผลเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

– ธปท.จ่อประกาศรายละเอียดช่วย “หนี้บ้าน-รถยนต์ และธุรกิจ SMEs” หลังคณะทำงานเคาะหลักเกณฑ์แล้ว ตีกรอบค้างไม่เกิน 1 ปี พักชำระดอกเบี้ยชั่วคราว 3 ปี ยืดเวลาด้วยการลดผ่อนชำระ 50% เข้มห้ามก่อหนี้ชั่วคราว ผิดเงื่อนไขกลับมาเป็นคนผิดนัดชำระหนี้ตามเดิม

– สรท.ชี้ เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ว่า “ทรัมป์-แฮร์ริส” ชนะ ไทยต้องปรับตัวรับสงคราม การค้ารอบใหม่ เผยช่วง 7 ปีเกิดสงครามการค้า ไทยได้อานิสงส์ย้ายฐานผลิต-ส่งออกไปสหรัฐ มั่นใจปี 67 ส่งออกไทย โตกว่า 2% แม้เหลือเวลาอีก 3 เดือนสุดท้ายของปี ขณะที่ต้นเดือน ธ.ค.เตรียมคาดการณ์เป้าส่งออกปี 68

– “สมาคมธนาคารไทย” ออกมาตรการ “ลดภาระหนี้” หวังช่วยลูกหนี้รายย่อย “บ้าน-รถ-เอสเอ็มอี” รายเล็ก โดยการแขวน “ดอกเบี้ย” ได้ ให้จ่ายแต่ “เงินต้น” เผยหากผ่อนชำระตามเกณฑ์จะ “ยกดอกเบี้ย” ทั้งหมดที่ค้างชำระ พร้อมย้ำคนเข้าเกณฑ์ต้องกู้ก่อน 1 ม.ค. 67 และเริ่มผิดนัดชำระหนี้

– YLG มองเทรนด์ทองคำยังร้อนแรง ทั้งปัจจัยดอกเบี้ยขาลง-ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังเก็บทอง-ความขัดแย้งตะวันออกกลาง ลุ้นหากผ่าน 2,850 เหรียญฯ เป้าต่อไป 3,000 เหรียญฯ และหากได้บาทอ่อน จะหนุนทองคำแท่งในประเทศถึง 50,000 บาท

 

หุ้นเด่นวันนี้

– บมจ.เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “MPJ” ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ราคา IPO หุ้นละ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 318 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,200 ล้านบาท

– ONEE (ดาโอ) “ซื้อ” เป้าปรับขึ้นเป็น 4.90 บาท อิง 2025E PER20.0x (เดิม 4.20 บาท อิง 2024E PER 20.0x) เราประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 166 ล้านบาท (+9% YoY, +38% QoQ) สูงกว่าเราคาดการณ์เดิมจากรายได้

และ GPM ที่ดีกว่าคาด กำไรขยายตัว YoY จากรายได้และ GPM ขยายตัว สำหรับกำไรที่ขยายตัว QoQ หนุนโดย 1) รายได้รวม +10% QoQ จากรายได้ที่ขยายตัวในทุกธุรกิจ, 2) GPM ขยายตัวเล็กน้อย QoQ จาก utilization rate ที่ดีขึ้น และสัดส่วนรายได้ copyrights ซึ่ง high margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ 3)SG&A to sales ปรับตัวลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่าย selling expenses ที่ดีขึ้น แม้จะมี one-time expense จากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (ธุรกิจ Artist Management & Copyrights) เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี  2567-2568  ขึ้น +2% และ +5% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนรายได้และ GPM ที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ เราประเมินกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 507 ล้านบาท ทรงตัว YoY และปี 2568 ที่ 584 ล้านบาท (+15% YoY) จากรายได้ที่ขยายตัวในทุกธุรกิจจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หนุนกำลังซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้น และ GPM ขยายตัวราคาหุ้น outperform ET +5% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 16.3x ต่ำกว่า per กลุ่ม MEDIA อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ ONEE จากความหลากหลายในธุรกิจ ช่วยลดการพึ่งพิงเม็ดเงินโฆษณา โดยสัดส่วนรายได้จากโฆษณาอยู่ที่ 43% ของรายได้รวม

– MTC (กสิกรไทย) “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 55.50 บาท เรามมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 3/67 โดยคาดว่าจะเติบโต 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หนุนจากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ ที่ 14% และอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากจำนวนวันที่มากกว่าในไตรมาส 2/67 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยคาดการณ์ว่า NPL ในไตรมาส 3/67 จะทรงตัวที่ 2.9% และ Credit cost อยู่ที่ 2.3% สำหรับ 4Q24 คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนและไตรมาสก่อน จากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ และการลดลงของอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายและการแข่งขันที่ลดลง อีกทั้ง คาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างต่ำจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาลที่จะมีการพักชำระดอกเบี้ย และลดค่างวดครึ่งหนึ่ง ตามการชี้แจงเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top