ZoomIn: ส่องหุ้นได้ประโยชน์เลือกตั้งสหรัฐ ทรัมป์ VS แฮร์ริส

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ ประเมินทิศทางได้ยากว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป เนื่องจากคะแนนความนิยมล่าสุดค่อนข้างสูสี ขณะที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่า หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะจะเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย จากความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (Trade war) ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่หากนางคามาลา แฮร์ริส ชนะเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวก

พร้อมแนะลงทุนหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์ จากทรัมป์ชนะ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA WHA ROJNA PIN, กลุ่มประกัน TLI, กลุ่มส่งออก DELTA ITC CPF HANA, กลุ่มปลอดภัย BCH

ส่วนหุ้นได้ประโยชน์ จากแฮร์ริสชนะ ได้แก่ หุ้น Domestic play เช่น CPALL CRC MOSHI SIRI BBL KBANK, กลุ่มการเงิน MTC SAWAD SAK, กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM CKP, กลุ่มสื่อสาร ADVANC TRUE, กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง DOHOME

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ มองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ล่าสุดผลสำรวจคะแนนความนิยมค่อนสูสี ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าจะเป็น คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรคริพับลิกัน โดยต้องติดตามดูในฝั่งของ Select State กันต่อว่ารัฐกลางจะให้คะแนนเสียงข้างมากไปที่ฝั่งไหน รวมถึงดูในฝั่งวุฒิสภา (ส.ว.) และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (ส.ส.) ด้วย ว่าจะได้คะแนนเสียงในฝั่งนี้ไปด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตามมองไม่ว่าจะเป็นใครมา ในระยะถัดไปเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยเมื่อเริ่มตั้งหลักได้ คาดจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยกลยุทธ์ยังเน้นรอตั้งรับหุ้นพื้นฐานดีอิงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL จากมองแนวโน้มไตรมาส 4/67 ผลการดำเนินงานคาดจะกลับมาเร่งขึ้นทั้ง Q-Q และ YoY จากเป็นช่วงไฮซีซั่น, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากไตรมาส 4/67 เป็นช่วงของการเร่งปิดยอดขายที่ดิน และหากเกิด Trade war ขึ้นจริง การย้ายฐานการผลิตจากจีน จะเข้ามาสู่ไทย เวียดนาม มากขึ้น หนุนกลุ่มนิคมฯ ยังน่าลงทุน แนะนำ AMATA, WHA เป็นต้น

บล.กสิกรไทย ระบุ การเลือกประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เรามองความเป็นไปได้ 4 สถานการณ์ คือ

1. Red sweep คือหาก Trump ชนะ และได้เสียงข้างมากทั้งในสภาบนและสภาล่าง จะเป็นลบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง จากแนวโน้มความขัดแย้งทางการค้าโลกเพิ่มสูงขึ้น (Trade war theme)

2. หาก Trump ชนะ และได้เสียงข้างมากในสภาบนหรือสภาล่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นบวกต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาษี และเพิ่มการผลิตการจ้างงานในประเทศ (Stimulus theme),

3. Blue sweep คือหาก Harris ชนะ และได้เสียงข้างมากทั้งในสภาบนและสภาล่าง จะเป็นลบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง จากแนวโน้มความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น หรือความเสี่ยงเรื่องสงครามในตะวันออกกลางและยุโรปเพิ่ม (Real war) และ

4. หาก Harris ชนะ และได้เสียงข้างมากในสภาบนหรือสภาล่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นบวกอ่อนๆ ต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง จากความต่อเนื่องของนโยบายและการบริหาร (Continuity theme)

สำหรับหุ้นที่อาจได้รับประโยชน์

เรามองหาก Trump ชนะการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีน ส่งผลให้เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยจึงมีแนวโน้มจะทรงตัวในระดับสูงนาน และค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นกลุ่มหุ้นที่เรามองได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA) กลุ่มประกัน (TLI) กลุ่มส่งออก (DELTA ITC CPF)

เรามองหาก Harris ชนะการเลือกตั้ง แนวโน้มเงินเฟ้อคาดทยอยปรับลดลงต่อ อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางปรับลดลงตามและค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า กลุ่มหุ้นที่เรามองได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มการเงิน (MTC) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC)

บล.ธนชาต ระบุ ศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง Donald Trump และ Kamala Harris ในวันนี้ 5 พ.ย. จะเป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก นโยบายการค้า อัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจไทย

ซึ่งหาก Trump ชนะ มีโอกาสเห็นมาตรการทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่รุนแรงมากขึ้น กระทบต่อเงินเฟ้อและอาจทำให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด

อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งในรอบนี้มีคะแนนสูสีและมีโอกาสพลิกล็อกได้ โดยเรามองว่าไม่ว่าใครชนะจะเป็น “บวก” ต่อการกระจายความเสี่ยงด้านฐานการผลิตออกจากจีนต่อไป

แนะนำ

1. “ซื้อ” กลุ่มนิคมฯ จาก FDI ที่ไหลเข้าไทยแข็งแกร่ง อย่าง AMATA WHA ROJNA PIN

2. “เก็งกำไร” กลุ่ม Rate Sensitive play หาก Harris ชนะ คาดว่า bond yield จะปรับตัวลดลง ชอบ MTC SAWAD SAK CKP DOHOME TRUE

บล.พาย มองสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะนี้การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่าง ๆ นั้นยังค่อนข้างทรงตัว โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ, Dollar Index ขณะที่ Bitcoin เริ่มปรับลง สะท้อนว่านักลงทุนบางส่วนอาจเชื่อว่า Harris จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย แต่อาจใช้เวลาทั้งสัปดาห์กว่าจะทราบผลอย่างเป็นทางการ

ข้อมูลล่าสุดจากสำนัก Bloomberg Consensus พบว่าให้น้ำหนักว่า Trump อาจชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี หากเป็นเช่นนั้นจริงอาจไม่ดีกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย เพราะเม็ดเงินจะไหลกลับสหรัฐฯ กดดันสกุลเอเชียอ่อนค่า รวมถึงนโยบายของ Trump มักจะเน้นให้สหรัฐ ฯเติบโตและไม่สนใจประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจกดดันเศรษฐกิจฝั่งเอเชีย

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยจากผลสำรวจล่าสุดของ CNN (4 พ.ย.) ชี้ให้เห็นว่า Harris มีคะแนนนำทรัมป์เล็กน้อยที่ 48-47 เสียง ในขณะที่ ตัวแปรสำคัญอย่าง 7 รัฐสมรภูมิ ทั้งคู่มีคะแนนที่สูสีกันจนไม่สามารถคาดเดาผลได้

ผลสำรวจล่าสุดนี้ ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจาก Trump trade ที่ชะลอตัวลง สนับสนุนให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 10 ปี (4.3%) และบิทคอยน์ปรับตัวลดลงมา

หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง จะเป็นบวกต่อกลุ่มนิคมฯ-ส่งออก-หุ้นปลอดภัย

นายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้เรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตรา 10-20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากต่างประเทศและให้เก็บภาษีจากสินค้าจากจีนสูงถึง 60% หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง จึงคาดว่าจะมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลออกจากจีนมาไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หุ้น Top pick คือ AMATA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 33 บาท

นอกจากนี้ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield) เพิ่มสูงขึ้น น่าจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นผลดีกับกลุ่มผู้ส่งออก เช่น ผู้ประกอบการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร หุ้น Top pick คือ HANA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 44 บาท

ขณะเดียวกัน เชื่อว่ามุมมองของนักลงทุนต่อตลาดเกิดใหม่น่าจะมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น จึงน่าจะช่วยให้หุ้นในกลุ่มปลอดภัย เช่น กลุ่มการแพทย์ปรับตัวดีขึ้น หุ้น Top pick ได้แก่ BCH แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 19.70 บาท อย่างไรก็ตามนาย Trump น่าจะให้ความสำคัญกับเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมมากกว่าพลังงานหมุนเวียน จึงมองว่าในกรณีที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง ราคาน้ำมันและก๊าซ รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นอาจได้รับผลกระทบ

หากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง เป็นบวกต่อหุ้น Domestic play-อสังหาฯ-ธนาคาร

หากนางคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวกมากกว่ากรณีที่ Trump เป็นผู้ชนะ ดังนั้น หุ้น Domestic play ที่เน้นธุรกิจในประเทศอย่างกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค, กลุ่มอสังหาริมทรัพฯ และกลุ่มธนาคารน่าจะ outperform หุ้นปลอดภัย นอกจากนี้ ยังคาดว่าเงินทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับหุ้น Top pick ภายใต้สถานการณ์นี้ โดยแนะนำซื้อ ได้แก่ CRC ราคาเป้าหมาย 42 บาท, MOSHI ราคาเป้าหมาย 54.75 บาท, SIRI ราคาเป้าหมาย 2.10 บาท, BBL ราคาเป้าหมาย 195 บาท และ KBANK ราคาเป้าหมาย 188 บาท

ส่วนบล.บัวหลวง ระบุ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งสหรัฐฯ แบ่งได้ 2 กรณี หลัก ได้แก่ 1.พรรครีพับลิกันเป็นผู้ชนะครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา (Republican sweep) และ 2.พรรคเดโมแครตทั้งแบบชนะทั้งสองสภา (Democratic sweep) และไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมาก (Split congress) ที่ประเมินว่าน่าจะไม่ต่างกันอย่างมีนัย จะต่างกันที่ความยาก-ง่ายในการผลักดันนโยบาย

กรณีที่ 1 หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง นโยบายภาษีการค้าแบบแข็งกร้าวประกอบกับการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อ สภาพแวดล้อมนี้จะเร่งการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน นอกจากนี้ จุดยืนที่สนับสนุนอิสราเอลและความขัดแย้งกับปาเลสไตน์ รวมถึงการสนับสนุนพลังงานฟอสซิล อาจผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายสนับสนุน AI อย่างเสรีคาดว่าจะหนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Data center, Cloud และการใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วโลก

หุ้นบวกได้แก่

1. หุ้น Quality และ Defensive ที่เหมาะกับช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจโลก เช่น ค้าปลีกของใช้จำเป็น อาหารและเครื่องดื่ม สื่อสาร และโรงพยาบาล

2. กลุ่มส่งออกทดแทน โดยเฉพาะถุงมือยางและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

3. กลุ่มได้ประโยชน์จากสงครามการค้า ทั้งค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง และนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเวียดนาม

4. กลุ่มพลังงานต้นน้ำ หากสงครามรุนแรงขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น และ

5. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Data center, Cloud และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น สื่อสาร และโรงไฟฟ้า

กรณีที่ 2 หากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ (รวมทั้งกรณี Split Congress ด้วย) แนวนโยบายส่วนใหญ่อาจไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอยยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องจับตามองในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจโลก

หุ้นบวกได้แก่

1. หุ้น Quality และ Defensive (เช่นเดียวกับกรณีแรก เพราะวัฏจักรเศรษฐกิจเดียวกัน)

2. กลุ่มได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต (กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าในนิคม) และ

3. กลุ่มธุรกิจพลังงานทางเลือก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ย. 67)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top