ทองปิดพุ่ง $19.70 นลท.รุกซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 2,800 ดอลลาร์ในวันพุธ (30 ต.ค.) เนื่องจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 19.70 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 2,800.80 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 36.60 เซนต์ หรือ 1.06% ปิดที่ 34.075 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 37.60 ดอลลาร์ หรือ 3.55% ปิดที่ 1,021.70 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 74.20 ดอลลาร์ หรือ 6.04% ปิดที่ 1,154.10 ดอลลาร์/ออนซ์

ดาเนียล พาวิโลนิส นักกลยุทธ์การตลาดจากบริษัท RJO Futures กล่าวว่า “ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และแนวโน้มที่เฟดจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ โดยเราคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ราคาทองจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,850 ดอลลาร์ในไม่ช้านี้”

ทางด้านโดมินิก สเปอร์เซล นักวิเคราะห์จากบริษัท Heraeus Metals Germany คาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ภายในปี 2568 เนื่องจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำเป็นปัจจัยหนุนตลาด

สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า อุปสงค์ทองทั่วโลกพุ่งขึ้น 5% สู่ระดับ 1,313 ตันในช่วงไตรมาส 3/2567 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยรับแรงหนุนจากการลงทุนที่แข็งแกร่งจากชาติตะวันตก และเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำในไตรมาส 3

WGC คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นต่อไป เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญกับการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เวลาประมาณ 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคและครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 111,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.1% ในเดือนต.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ต.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top