เงินบาทเปิด 33.20 อ่อนค่าเล็กน้อย จับตาผลประชุม ECB-ราคาทอง-ทิศทาง Flow

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.20 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปิดวันก่อนที่ระดับ 33.18 บาท/ดอลลาร์

ตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทโดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้าของราคาทองคำ แต่เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน และอ่อนค่าลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์สหรัฐทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

วันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยนโยบาย -25bps สู่ระดับ 3.25% ทั้งนี้ต้องจับตาว่า ECB จะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงคาดการณ์เศรษฐกิจอย่างไร รวมถึงจะมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ชัดเจนหรือไม่

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways 33.05-33.35 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ

ระหว่างวัน เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้าได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ตลาดของ กนง. อาจเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย

“การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท อาจถูกชะลอลงบ้าง หากเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways ซึ่งเราประเมินว่า เงินดอลลาร์อาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ” นายพูน ระบุ

นายพูน คาดกรอบเงินบาทวันนี้ จะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.40 บาท/ดอลลาร์

  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 149.38 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานที่ระดับ 149.20 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0861 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานที่ระดับ 1.0894 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท. อยู่ที่ระดับ 33.304 บาท/ดอลลาร์
    -“กนง.” เสียงแตก 5 ต่อ 2 ยอมหั่นดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ยันไม่เกี่ยวแรงกดดันทางการเมือง แจงหวังช่วยบรรเทาภาระหนี้ พร้อมขยับจีดีพีปีนี้เพิ่มเป็น 2.7% “รมช.คลัง” ยิ้มร่า ชี้จุดเริ่มต้นที่ดีการเงิน-การคลังประสานกันมากขึ้น เพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทย หุ้นพุ่งเกือบ 20 จุด เด้งรับข่าวดี
  • นายกสมาคมอาคารชุดไทย ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ ภาคอสังหาฯปีนี้ให้ติดลบน้อยลง ทำดอกเบี้ยลดลงจะส่งผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าช่วยให้ต่างชาติโอนเพิ่มขึ้นปลุกกำลังซื้อโค้งสุดท้ายหอการค้าไทย ชี้ลดดอกเบี้ย 0.25%เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เงินบาทไม่แข็งค่าเกินไปเอื้อต่อการส่งออก สรท.ขอบคุณที่ลดดอกเบี้ยคลายความกดดันช่วยลดต้นทุน
  • ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กวันพุธ (16 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่มากนักในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ รวมทั้งการคาดการณ์ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงก่อนการประชุมของธนาคารกลางยุโรป ซึ่งตลาดคาดว่า ECB จะปรับลดดอกเบี้ย
  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนพ.ย.และธ.ค.
  • นักลงทุนรอดูยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนก.ย. ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟดเกี่ยวกับขนาดหรือช่วงจังหวะของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยขณะนี้ นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ย. และเทน้ำหนักเกือบ 90% ต่อคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน ธ.ค.
  • ในช่วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดหลายราย อาทิ ประธานเฟดแอตแลนตา ประธานเฟดซานฟรานซิสโก ออกมาแสดงท่าทีระมัดระวังต่อการปรับลดดอกเบี้ย โดยแสดงความเห็นว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงไม่เร็วพอที่จะทำให้เฟดเร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งภาวะเงินเฟ้อลดลงหรือการชะลอตัวของภาวะเงินเฟ้ออาจเปิดโอกาสให้ดอกเบี้ยในประเทศอื่นลดลงเร็วกว่าในสหรัฐฯ และสถานการณ์เช่นนี้จะช่วยหนุนดอลลาร์
  • เทรดเดอร์รอดูการประชุม ECB โดยนักวิเคราะห์คาดว่าที่ประชุมจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 67)
Tags:
Back to Top