CRC บวก 3.82% เทรกคึกคักรับกลุ่มเซ็นทรัลดึงกองทุนมั่งคั่งซาอุร่วมทุน Selfridges

CRC บวก 3.82% มาที่ 34.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 316.18 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.39 น. โดยเปิดตลาด 33.50 บาท ปรับขึ้นสูงสุดที่ 34.25 บาท และลงไปต่ำสุดที่ 33.25 บาท

ราคาหุ้น บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ดีดขึ้นจากประเด็นปลดล็อกความกังวล หลังจากกลุ่มเซ็นทรัล ประกาศจับมือ PIF กองทุนความมั่งคั่งแห่งซาอุดีอาระเบียเพื่อร่วมลงทุนในกิจการของกลุ่มเซลฟริดเจสทั้งหมดแทนที่กลุ่มซิกน่า (Signa) โดยกลุ่มเซ็นทรัลจะถือหุ้น 60% และ PIF ถือ 40% ภายหลังจากที่ PIF ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดในธุรกิจกลุ่มเซลฟริดเจสต่อจากกลุ่มซิกน่า

ความร่วมมือครั้งนี้รวมถึงเงินลงทุนก้อนใหม่ที่กลุ่มเซ็นทรัล และ PIF ร่วมกันอัดฉีดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ทางการเงิน และการต่อยอดทางธุรกิจของกลุ่มเซลฟริดเจสในอนาคตด้วย โดยดีลนี้จะเสร็จสมบูรณ์หลังจากได้รับการอนุมัติ ตามขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

กลุ่มเซลฟริดเจส เป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าหรูชั้นนำของยุโรป มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 18 สาขา ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส (Selfridges) สหราชอาณาจักร (ซึ่งรวมถึงอาคารและที่ดินของสาขาถนนออกซ์ฟอร์ด (Oxford Street) แฟลกชิพสโตร์ที่เป็นแลนด์มาร์คของย่านช้อปปิ้งอันโด่งดังของกรุงลอนดอน และ สาขาแมนเชสเตอร์ เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ (Manchester Exchange Square) ห้างสรรพสินค้า ดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ห้างสรรพสินค้า บราวน์โทมัส (Brown Thomas) และอาร์นอตส์ (Arnotts) ประเทศไอร์แลนด์ พร้อมแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซและบริการในรูปแบบออมนิแชนแนล(Omnichannel) ที่ผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้า

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า จากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วที่เราได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีอำนาจในการบริหารห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซลฟริดเจส วันนี้นับเป็นข่าวดีอีกครั้งที่เราจะผนึกกำลัง ร่วมกับ PIF เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับกลุ่มเซลฟริดเจสมากยิ่งขึ้น

PIF คือพันธมิตรที่เราเลือกให้มาร่วมขับเคลื่อนธุรกิจอันทรงคุณค่าแห่งนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าประสบการณ์การ ลงทุนระดับโลกของ PIF เมื่อผสานกับประสบการณ์และความชำนาญของกลุ่มเซ็นทรัลในธุรกิจค้าปลีกระดับลักชัวรี่ ทั้งด้านการบริหารจัดการสินค้าและการริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ จะทำให้ธุรกิจของกลุ่มเซลฟริดเจสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และ สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนในยุโรป เป็นส่วนสำคัญในการประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาค ที่เชื่อมต่อโลกค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและตอกย้ำ ความเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูของกลุ่มเซ็นทรัล

กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มลงทุนในกิจการกลุ่มเซลฟริดเจสตั้งแต่ปี 65 และผลักดันธุรกิจให้พร้อมรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับโฉมล่าสุดของ Selfridges Beauty Hall สาขาถนนออกซ์ฟอร์ด ให้กลายเป็น “Beauty Destination of the Future” ที่ผสานนวัตกรรมและบริการล้ำสมัยเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัว หรือการปรับปรุงและเพิ่มพื้นที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูที่ชั้น G ห้างบราวน์ โทมัส กรุงดับบลิน และแผนกสินค้าชาย ห้างดี แบนคอร์ฟ กรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหล่าเซเลบริตี้และนักช้อปผู้หลงใหลในแบรนด์ดัง โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มเซลฟริดเจสสร้างยอดขายได้กว่า 2,800 ล้านปอนด์ หรือกว่า 125,000 ล้านบาท

อาณาจักรห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลในปัจจุบัน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 40 สาขา อยู่ใน 34 เมืองท่องเที่ยวชั้นนำใน 7 ประเทศ โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดสามารถสรุปได้ตามลำดับเวลา ดังนี้

  • กรกฎาคม 2567 กลุ่มเซ็นทรัลเข้าซื้ออาคารและที่ดินของห้างสรรพสินค้าคาเดเว กรุงเบอร์ลิน จากบริษัท ซิกน่า ไพร์ม ซีเลคชั่น เอจี เปลี่ยนสถานะจากผู้เช่าเป็นผู้ให้เช่า และเข้าซื้อสินทรัพย์ของกลุ่มคาเดเว พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ KaDeWe GmbH (คาเดเว จีเอ็มบีเอช) ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าหรู ทั้งสามแห่งในเยอรมันแต่เพียงผู้ เดียว ได้แก่ คาเดเว กรุงเบอร์ลิน โอเบอร์โพลลิงเกอร์ เมืองมิวนิก และ อัลสแตร์เฮ้าส์ เมืองฮัมบูร์ก
  • สิงหาคม 2567 กลุ่มเซ็นทรัลลงนามในสัญญาเพื่อเข้าซื้อ และเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวในกิจการบริหารห้างสรรพสินค้า โกลบุส (Globus) ทั้ง 9 สาขาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ทั้งนี้ในส่วนบริษัทที่ถือครองและบริหาร อาคารและที่ดินห้างโกลบุส (Property Company) กลุ่มเซ็นทรัลยังคงถือหุ้นร้อยละ 50 เช่นเดิม)
  • กันยายน 2567 กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับ PIF ลงนามในสัญญาเพื่อเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส (Selfridges Group) จากผู้ถือหุ้นเดิมคือกลุ่มซิกน่า (Signa) ได้แก่ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้า (Operating Company) และบริษัทที่ถือครองและบริหาร อาคารและที่ดิน (Property Company) โดยกลุ่มเซ็นทรัลถือหุ้น 60 และกองทุน PIF ถือหุ้น 40 ในส่วนของกลุ่มซิกน่าเดิมทั้งสองบริษัท

ปัจจุบัน ธุรกิจในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลอยู่ใน 7 ประเทศ ซึ่งลงทุนโดยตรง 6 ประเทศไม่เกี่ยวข้องกับ CRC และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) แต่อย่างใด คือ

  • สหราชอาณาจักร : ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส (Selfridges)
  • ประเทศเนเธอร์แลนด์ : ห้างสรรพสินค้าดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf)
  • ประเทศไอร์แลนด์ : ห้างสรรพสินค้าบราวน์ โทมัส (Brown Thomas) และ อาร์นอตส์ (Arnotts)
  • ประเทศเยอรมนี : ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เมืองมิวนิก และอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก
  • ประเทศเดนมาร์ก : ห้างสรรพสินค้าอิลลุม (Illum)
  • ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ : ห้างสรรพสินค้าโกลบุส (Globus) และ โกลบุสฟู้ดฮอลล์ (Globus Food Hall)

ส่วนการลงทุนในอิตาลี แบ่งเป็น CRC เป็นเจ้าของ (100%) ในส่วนของบริษัทที่บริหารห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเตทั้ง 9 สาขา กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ (100%) เฉพาะในส่วนบริษัทที่ถือครองและบริหารอาคารและที่ดิน 2 สาขา คือ สาขาโรม ทริโทเน่ (Rome Tritone) และสาขาตูริน (Turin)

สำหรับ PIF คือ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นหนึ่งในกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อการลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจให้กับซาอุดีอาระเบีย

ในฐานะนักลงทุนระดับโลก PIF มุ่งแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อเร่งการเติบโตและการถ่าย ทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ที่จะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศแห่งอนาคตในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่ปี 2560 PIF ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทไปแล้ว 95 แห่ง และอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนให้กับท้องถิ่นต่างๆ ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านริยาล หรือกว่า 1.5 ล้านล้านบาท

จากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ และการเป็นพันธมิตรกับภาครัฐและเอกชนของซาอุดีอาระเบีย PIF กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยน ผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และวางรากฐานสำหรับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศในการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซาอุดีอาระเบีย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top