นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดรีบาวด์ตามภูมิภาคเอเชีย ตอบรับตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐออกมาดีกว่าคาด ลดความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย และสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทรงตัว นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ฯ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ส่วนบ้านเราได้แรงหนุนกองทุนวายุภักษ์เข้าเทรดวันแรก ให้แนวรับ 1,440 จุด และ แนวต้าน 1,460 จุด
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้คาดรีบาวด์ เป็นไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ตอบรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานของสหรัฐออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย หนุนสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัว ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทรงตัว โดยนักลงทุนยังคงจับตาการตอบโต้อย่างใกล้ชิด ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้เตือนให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของอิหร่าน
ส่วนบ้านเรานะยะสั้นได้แรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์ จากเตรียมเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้เป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ให้แนวรับ 1,440 จุด และ แนวต้าน 1,460 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (4 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,352.75 จุด เพิ่มขึ้น 341.16 จุด หรือ +0.81%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,751.07 จุด เพิ่มขึ้น 51.13 จุด หรือ +0.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,137.85 จุด เพิ่มขึ้น 219.37 จุด หรือ +1.22%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 39,239.92 จุด เพิ่มขึ้น 604.30 จุด หรือ +1.56% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 22,948.35 จุด เพิ่มขึ้น 211.48 จุด หรือ +0.93%, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวลง 0.25% ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียดีดตัวขึ้น 0.11% ส่วนตลาดหุ้นจีนยังคงปิดทำการเนื่องในวันชาติ และจะกลับมาเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งในวันอังคารที่ 8 ต.ค.
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ต.ค.) ที่ 1,444.25 จุด เพิ่มขึ้น 1.52 จุด (+0.11%) มูลค่าซื้อขาย 63,978.43 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (4 ต.ค.) 1,003.76 ล้านบาท
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 74.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ต.ค.) อยู่ที่ 3.04 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.23/33 อ่อนค่า หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐดีกว่าคาดหนุนดอลลาร์แข็งค่า
- ในเดือน ต.ค.นี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง จะนัดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือกรอบการบริหารเงินเฟ้อปี 2568 เพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และประกาศใช้ในปี 2568 โดยกระทรวงการคลังจะเสนอขยับกรอบเงินเฟ้อปีหน้าเป็น 1.5-3.5% จากเดิมที่อยู่ที่ 1-3% เพื่อให้ ธปท.มีช่วงปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้มากขึ้น โดยระยะห่างการบริหารกรอบยังเท่าเดิมที่ 2%
- รัฐบาลทุ่มงบบริหารน้ำเพิ่มทะลุ 1 แสนล้าน ยังไม่รวมงบกลางแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งปีละ 4-5 หมื่นล้าน เตรียมคลอดแพ็กเกจลงทุนฟื้นฟูน้ำท่วมทั่วประเทศ เร่งฟื้นเศรษฐกิจหลังน้ำลด เล็งโยกงบดิจิทัลวอลเล็ตบางส่วนมาใช้ ‘ทีดีอาร์ไอ’ ห่วงการคลังไทยไม่แข็งแรงพอรับวิกฤติ หลังหนี้สาธารณะเพิ่มเร็ว ชี้หากน้ำท่วมรุนแรงงบฯไม่พอเยียวยารัฐอาจ ต้องออก พ.ร.ก.กู้เงินอีกรอบ
- กทพ.วางแผน 10 ปี ผุดโครงข่ายทางด่วน 11 สาย ลงทุนกว่า 2.6 แสนล้านบาท เร่งสร้าง “พระราม 3-ดาวคะนอง” เปิดบริการเต็มรูปแบบปี 69 ส่วนปี 68 จัดคิวเสนอ ครม. เริ่มก่อสร้างอีก 3 สาย “Double Deck, กะทู้-ป่าตอง, N2”
หุ้นเด่นวันนี้
- BBL (พาย) ซื้อ ราคาเป้าหมาย 171.00 บาท การขยายสินเชื่อทำได้ตามเป้าหมายขยายตัว 3-5% ในปี 2024 หลังจากโต 1.8% YTD ใน 1H24 หนุนจาก (1) สินเชื่อกิจการต่างประเทศ โดยเฉพาะสินเชื่อจากประเทศจีน ฮ่องคง และอินโดนีเซีย และ (2) สินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ที่การแข่งขันไม่รุนแรงมาก และสินเชื่อยังได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นกู้ที่ยังไม่เป็นปกติทำให้มีความต้องสินเชื่อจากลูกค้าบริษัทเพิ่มขึ้น
- ICHI (ฟินันเซียฯ) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท เรายังคงมมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติ 3Q24 ที่คาดที่ 380 ล้านบาท +8% q-q, +16% y-y สวนทางฤดูกาล หนุนจากยอดขายชาเขียวที่ยังดีหนุนอัดราการใช้กำลังการผลิตให้ยังเต็มระดับ 80% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงทำให้ Margin ยังดี เราคาดกำไรปี 2024 ที่ 1.35 พันล้านบาท +23% y-y ราคาหันปัจจุบันเทรดที่ระดับ 2024PER เพียง 15 เท่า ต่ำเป็นอันดับต้นๆของกลุ่มเครื่องดื่ม และคาดให้ Dividend Yield ทั้งปีสูงราว 7% ช่วยจำกัด Downside
- MTC (กสิกรไทย) แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 55.00 บาท เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อ MTC ในแง่ของงบการเงินใน 3Q24 ที่มีโอกาสกำไรรายงานออกมาเติบโตทั้ง YOY จากทั้งการเติบโตของการให้สินเชื่อที่อยู่ในกรอบ 15-20% YoY และ คุณภาพสินทรัพย์ที่ยังอยู่ในแนวโน้มที่ดีขึ้นและผ่านจุดสูงสุดของ NPL มาแล้ว โดยคาดว่า NPL จะไม่กลับไปแตะในระดับ 3% อีกทั้งสำรองหนี้เสียเมื่อเทียบกับ NPL อยู่ในระดับสูงถึง 125% เราคาดว่าแม่โอกาสการปรับดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งถัดไปลดลงจาก 50bps เหลือ 25bps แต่ยังอยู่ใน cycle ของดอกเบี้ยขาลง ดังนั้นเราแนะนำซื้อสะสมเมื่ออ่อนตัว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 67)
Tags: SET, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย