นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงเกือบ 5% ซึ่งแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค โดยเป็นผลจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุมเดือนกันยายน โดยตลาดมองว่าการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ เป็นการลดเพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะไม่เกิดภาวะถดถอย (Insurance cut) จึงทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดปรับดีขึ้น (Risk-on sentiment), อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ลดลง เงินดอลลาร์อ่อนค่า และสกุลเงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ ราคาทองคำก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยราคาทองคำปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากทั้งอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินที่ลดลง อุปสงค์ต่อทองคำจากทั้ง ETF, Hedge fund, และธนาคารกลางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาทองคำมีความสัมพันธ์กับเงินบาทสูง จึงทำให้บาทแข็งค่าเร็วกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยที่ตลาดไม่ได้คาดคิด ซึ่งเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อสกุลเงินภูมิภาค และทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าที่คาดไว้ คือ การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการเลือกหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ของญี่ปุ่น โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) และกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Politburo) ได้แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย (Reverse repo และ 1-year MLF) เพิ่มสภาพคล่องเข้าตลาดหุ้น (อย่างน้อย 5 แสนล้าน) อัดฉีดเงินให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกระตุ้นการบริโภคเอกชนผ่านการปล่อยกู้ ส่งผลให้เงินหยวนกลับมาแข็งค่าเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความเชื่อมั่นที่สูงนี้ ทำให้เกิด Risk-on ในตลาดเอเชีย และดันให้เงินบาทแข็งค่าตามเงินหยวน นอกจากนี้ การเลือกหัวหน้าพรรค LDP ของญี่ปุ่นก็ออกมาเหนือความคาดหมาย โดยนายชิเงรุ อิชิบะ ที่ได้รับเลือก มีนโยบายสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น จึงทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเร็ว กดดันให้เงินบาทแข็งค่าตาม
ด้าน นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า ในระยะสั้นนี้ เงินบาทจะยังผันผวนสูง โดยมีปัจจัยจากทั้งการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed สงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงโอกาสการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยขณะนี้ ตลาดมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกราว 70 bps ใน 2 การประชุมที่เหลือของปีนี้ ซึ่งหาก Fed ลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาด ก็อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับสูงขึ้น กดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า และบาทกลับมาอ่อนค่าได้
โดยสิ่งที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งหากอัตราว่างงานยังออกมาที่ 4.2% หรือต่ำกว่า ก็อาจทำให้ Yields สูงขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า และบาทอ่อนได้ นอกจากนี้ หากสงครามในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจมาจากการตอบโต้ของอิหร่าน หรืออิสราเอลเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีเลบานอน ก็อาจทำให้เกิดภาวะ Risk-off และนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินภูมิภาค ทำให้เงินบาทอ่อน
ในกรณีนี้มองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลอื่นในภูมิภาคได้ เพราะราคาทองคำที่อาจปรับสูงขึ้นตามไปด้วย จะช่วยพยุงให้เงินบาทไม่อ่อนค่ามาก สำหรับปัจจัยสุดท้ายที่จะส่งผลต่อความผันผวนเงินบาทในระยะสั้น คือ โอกาสในการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ซึ่งขณะนี้ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปลายปี แต่หาก กนง. ยังสื่อสารไปในทางที่อาจจะไม่ลดดอกเบี้ย (Hawkish) ก็อาจเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเงินบาทเพิ่มเติมได้
โดยคาดว่าในระยะสั้น เงินบาทโดยเฉลี่ยอาจอยู่ในกรอบราว 32.45-32.95 บาท/ดอลลาร์ โดยหากเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับราว 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์ จะเป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกพิจารณาขายเงินดอลลาร์ออกได้ และหากเงินบาทแข็งค่าไปที่ระดับราว 32.20-32.50 บาท/ดอลลาร์ จะเป็นจังหวะให้ผู้นำเข้าพิจารณาซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มได้
สำหรับในระยะกลางถึงยาว นายวชิรวัฒน์ ยังมองว่า เงินบาทอาจยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 32.00-32.50 บาท/ดอลลาร์ การลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของ Fed จะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าได้ ซึ่งคาดว่าวัฏจักรการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะทำให้เกิดภาวะ Risk-on และทำให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EMs) รวมถึงไทย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าต่อได้
โดยในเดือนกันยายน พบว่ามีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 2.9 หมื่นล้านบาท และไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาล 1 หมื่นล้านบาท ทำให้รวมทั้งปี มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 9.5 หมื่นล้านบาท และไหลออกจากตลาดพันธบัตรรัฐบาล 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นโมเมนตัมที่ดีขึ้นจากปีก่อนที่เงินไหลออกรวมกันถึง 3.4 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ การเลือกตั้งสหรัฐฯ มีแนวโน้มทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง กดดันให้บาทแข็งค่าต่อได้เช่นกัน ทั้งนี้ หากนางกมลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง อาจทำเกิดการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ของนักลงทุน (Unwind Trump trade) และความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าที่ลดลง จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงด้วย
สำหรับนัยต่อตลาดพันธบัตร ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจลดลงได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล และภาษีผู้มีรายได้สูงเพิ่มขึ้น ส่วนเศรษฐกิจระยะยาว อาจโตน้อยลงตามค่าจ้างและการจ้างงาน และความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้าอาจน้อยลง จึงทำให้ Yields ระยะยาว มีแนวโน้มลดลงได้มากกว่า Yields ระยะสั้น ดังนั้น Yield จึงอาจลดลงแบบ Bull flatten
อย่างไรก็ดี หาก Trump ชนะการเลือกตั้ง อาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าเร็วจากการขึ้นภาษีนำเข้า และ Treasury yields อาจปรับสูงและชันขึ้น จากความกังวลด้านฐานะการคลังที่รายได้การจัดเก็บภาษีมีแนวโน้มลดลง ขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้น อีกทั้งภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นอาจทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น กดดันให้ Yields ระยะยาวสูงขึ้นมากกว่า Yields ระยะสั้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 67)
Tags: SCB, ค่าเงินบาท, ธนาคารไทยพาณิชย์, เงินบาท, เงินบาทแข็ง, แพททริก ปูเลีย