นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” นำมวลชน เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ จากกรณีที่นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้สัมภาษณ์ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีการบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรค
โดยนายภัทรพงศ์ ได้เปิดไฟฉายพร้อมระบุว่า “ที่ กกต.มันมืดมน ไม่เห็นแสงสว่างแห่งความยุติธรรม จึงต้องชวนพี่น้องที่เห็นเหมือนกัน มาฉายไฟฉายที่นี่” พร้อมกับนำแผนภาพแสดงที่มาที่ไปของเงิน หจก.บุรีเจริญฯ ที่บริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเห็นว่าสามารถเอาผิดยุบพรรคภูมิใจไทยได้ มาประกอบการแถลงข่าว
นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องให้ กกต.พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.67 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสั่งให้นายศักดิ์สยาม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากให้นอมินีไปถือหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯ หลังจากนั้น 1 เดือน นายเรืองไกร ก็มายื่นยุบพรรคก้าวไกล และวันนี้ กกต.ยื่นยุบพรรคก้าวไกล จนพรรคกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว แต่ตนมาติดตามความคืบหน้าคดีพรรคภูมิใจไทยถึง 3 ครั้ง ล่าสุดคือวันที่ 27 ก.ย.67 และระบุว่าหาก กกต.ดำเนินการล่าช้า ตนจะยื่นฟ้อง กกต.
แต่อยู่ดี ๆ นายแสวง ซึ่งไม่เคยพูดกรณีนี้มาก่อนเลย กลับให้สัมภาษณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายศักดิ์สยาม ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคภูมิใจไทย และบอกว่าไม่มีหน่วยงานไหนที่ชี้ว่าเงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯ บริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ ตนเห็นแย้งเพราะ หจก.บุรีเจริญฯ ให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นนอมินีถือหุ้นแทน ระหว่างปี 2562-2565 นายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็น รมว.คมนาคม ในขณะที่ หจก.บุรีเจริญฯ ได้งานสร้างถนนจากกระทรวงคมนาคมรวม 53 โครงการ มูลค่ารวม 2,200 กว่าล้านบาท โดยพบว่าเงินดังกล่าวมีการนำไปบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่นายศักดิ์สยามเป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ โดยปี 2562 บริจาคเงิน 2 ครั้งรวม 7.5 ล้านบาท และปี 2565 บริจาคเพิ่ม 6 ล้านบาท รวม 13 ล้านบาทเศษ
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนว่า หจก.บุรีเจริญฯ เป็นของนายศักดิ์สยาม มาโดยตลอด รวมทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมก่อนปี 2562 บริษัทนี้ไม่บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย แต่พอนายศักดิ์ สยามโอนหุ้นให้กับนายศุภวัฒน์ กลับมีการบริจาคถึง 13 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อพิรุธข้อสงสัย ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 บัญญัติห้ามมิให้พรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน โดยรู้ หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุใดนายแสวง จึงไม่อ่านกฎหมายมาตรานี้
“เงิน 2,200 ล้านบาทที่ หจก.บุรีเจริญฯ ได้มาจากกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม นั่งเป็นรัฐมนตรี ผมอาจไม่ต้องพูดว่าเงินนั้นชอบ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างน้อย มันควรมีเหตุสงสัยหรือไม่ ข้อความเหล่านี้ นายแสวงไม่พูดเลยหรือ พูดแต่ว่าการที่จะยุบพรรคการเมือง เงินบริจาคต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ของ กกต.คือการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน แล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญทำการวินิจฉัย แต่พฤติการณ์ของนายแสวง กลับเป็นทนายความแก้ต่างให้กับพรรคภูมิใจไทย วันนี้ผมจึงต้องนำใบแต่งตั้งทนายความให้พรรคภูมิใจไทย แต่งตั้งนายแสวง เป็นทนายความเสียเลย” นายภัทรพงศ์ กล่าว
พร้อมขอท้านายแสวงว่า แน่จริงทำความเห็นเสนอวันนี้เลยว่าไม่ยุบพรรคภูมิใจไทย ถ้าภายใน 7 วันหลังจากนั้น ตนไม่ไปยื่นฟ้องนายแสวง และ กกต. ให้มาเรียกตนว่าเป็นหมาได้เลย
จากนั้นนายภัทรพงศ์ ได้ยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ กกต. โดยแจ้งว่าต้องการขอพบนายแสวงสัก 5 นาที แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าต้องทำหนังสือขอเข้าพบล่วงหน้ามาก่อน โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานงาน และมีผู้อำนวยการสำนักบริหารทั่วไปลงมาเพื่อที่จะรับเรื่อง แต่นายภัทรพงศ์ ระบุว่าไม่ได้มายื่นร้องเรียน แต่ต้องการยื่นใบแต่งตั้งทนายความจำลองมาให้ถึงมือนายแสวง ซึ่งทาง ผอ.ระบุว่ามีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น ไม่สามารถรับเอกสารอื่นได้ นายภัทรพงศ์ จึงได้ฝากใบแต่งตั้งทนายความดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับร้องเรียนแทน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 67)
Tags: ภัทรพงศ์ ศุภักษร, สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, แสวง บุญมี