แรงงานท่าเรือบริเวณชายฝั่งตะวันออกและอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ เริ่มหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี เมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) ส่งผลให้การขนส่งทางทะเลราวครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ ต้องหยุดชะงัก หลังจากการเจรจาสัญญาจ้างงานฉบับใหม่ล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นค่าจ้าง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การประท้วงครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าตั้งแต่อาหารจนถึงรถยนต์ในท่าเรือหลายสิบแห่ง ตั้งแต่รัฐเมนถึงรัฐเท็กซัส นักวิเคราะห์เตือนว่าการหยุดชะงักครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อวัน คุกคามการจ้างงาน และอาจกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และคณะบริหารของเขา ย้ำหลายครั้งว่าจะไม่ใช้อำนาจของรัฐบาลกลางเพื่อยุติการประท้วง และเมื่อวานนี้ ยังได้กดดันให้นายจ้างปรับปรุงข้อเสนอสัญญาเพื่อบรรลุข้อตกลง
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังคงพูดคุยกันอยู่ แต่ไม่มีการเจรจาใด ๆ ในช่วงดึกของวันอังคาร และดูเหมือนว่าการนัดหยุดงานจะยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 2 ตามการเปิดเผยของบุคคลหนึ่งที่ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเจรจา
ก่อนหน้านี้ สมาคมแรงงานท่าเรือนานาชาติ (ILA) ซึ่งเป็นตัวแทนของคนงานท่าเรือกว่า 45,000 ราย ได้เจรจากับพันธมิตรสายการเดินเรือสหรัฐอเมริกา (USMX) ซึ่งเป็นตัวแทนของนายจ้าง เพื่อทำสัญญาใหม่ระยะเวลา 6 ปี ก่อนถึงเส้นตายในคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.)
ทาง ILA ระบุในแถลงการณ์ว่า ได้ปิดท่าเรือทั้งหมดตั้งแต่รัฐเมนจนถึงรัฐเท็กซัสเมื่อเวลา 00.01 น. ของวันอังคาร หลังจากปฏิเสธข้อเสนอสุดท้ายของ USMX โดยระบุว่าข้อเสนอดังกล่าวห่างไกลจากข้อเรียกร้องของสมาชิก
ฮาโรลด์ ดักเก็ตต์ ผู้นำของ ILA กล่าวว่า นายจ้าง เช่น บริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อย่างเมอส์ก (Maersk) และบริษัทลูกอย่างเอพีเอ็ม เทอร์มินอล นอร์ท อเมริกา (APM Terminals North America) ไม่ยอมเพิ่มค่าจ้างอย่างมีนัยสำคัญ และไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของ ILA ที่ต้องการให้ยุติการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ที่ท่าเรือซึ่งถือเป็นปัจจัยคุกคามการจ้างงาน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 67)
Tags: ขนส่งทางทะเล, ท่าเรือ, สหรัฐ, แรงงาน