ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 159,685 ล้านบาท

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 159,685 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ

1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 98,417 ล้านบาท

2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,634 ล้านบาท

ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,034 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.25%   ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02%

ภาพรวมของตลาดในวันนี้

Yield Curve เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NETOUTFLOW 3,038 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 3,038 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 0.50% ในปีนี้ หากเศรษฐกิจมีพัฒนาการเป็นไปตามคาด และเฟดจะไม่รีบร้อนดำเนินการดังกล่าว หลังมีข้อมูลใหม่ซึ่งทำให้เฟดเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่น ลดลงมาอยู่ที่ 49.7 ในเดือนก.ย. จาก 49.8 ในเดือนส.ค. แต่สูงกว่าตัวเลข PMI ขั้นต้นเล็กน้อยที่ 49.6 ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้าย อังกฤษ และสหรัฐฯ เดือนก.ย. ในคืนนี้

สรุปภาวะการซื้อขายตราสารหนี้

ตลาดตราสารหนี้ไทย01-10-2024Change%Change
 มูลค่าการซื้อขาย159,684.75 ลบ.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือน2.23 %ลดลง0.01 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี2.26 %0.00 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี2.25 %เพิ่มขึ้น0.02 %

มูลค่าการซื้อขายแบบ Outright (แยกตามประเภทตราสาร)

ประเภทตราสารล้านบาทChange%Change
ตั๋วเงินคลัง2,079.53ลดลง85 %
พันธบัตรรัฐบาล35,531.94เพิ่มขึ้น78 %
ตั๋วสัญญาใช้เงินรัฐบาล0.00n/a
พันธบัตร ธปท.117,681.07เพิ่มขึ้น421 %
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ0.00ลดลง100 %
หุ้นกู้เอกชน4,392.21เพิ่มขึ้น44 %
พันธบัตรต่างประเทศ0.00n/a

หมายเหตุ: n/a คือ หาค่าไม่ได้ เนื่องจากไม่มีมูลค่าการซื้อขายในวันก่อนหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ต.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top