TATG เคาะราคา IPO 1.25 บ.P/E 5.2 เท่า เปิดจอง 30 ก.ย.-2 ต.ค.คาดเทรด mai ต้น ต.ค.

บมจ.ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 1.25 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 30 ก.ย. – 2 ต.ค. 2567 โดยหุ้น TATG จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ราคาหุ้น TATG ที่เสนอขายหุ้นละ 1.25 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ภายหลังการเสนอขายหุ้น (Fully Diluted) เท่ากับ 5.2 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยมอง TATG เป็นอีกหุ้นน้องใหม่ที่มีความน่าสนใจ ด้วยราคาที่กำหนดไว้มีความเหมาะสม มีศักยภาพการเติบโตของธุรกิจเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ภายหลังระดมทุนบริษัทฯพร้อมที่จะนำเงินไปใช้เสริมศัยกภาพในการดำเนินธุรกิจตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

นายพยุง ศักดาสาวิตร ประธานกรรมการบริหาร TATG กล่าวว่า บริษัทฯพร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้ผลิตแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึด และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ ที่สามารถให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร

สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 115.8 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในกลุ่มบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯและบริษัทย่อย รวมทั้งใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน โดยกลุ่มบริษัทฯ มีแผนการลงทุนเครื่องจักรการผลิตเพิ่มเติม ครอบคลุมทั้งระบบที่ควบคุมด้วยบุคคล (Manual Control) และระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ (Automatic Control) เพื่อให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการผลิตปริมาณมาก และการผลิตที่เน้นความพิถีพิถันสูง เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและควบคุมการผลิตให้ดีขึ้น ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาสำหรับงานด้านการออกแบบและผลิตเครื่องมือกล (Tooling) เพื่อสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถออกแบบแม่พิมพ์และสามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพให้เป็นไปตามที่ลูกค้ากำหนด รวมถึงการเตรียมความพร้อมสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่อัตราการแข่งขันอาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัทฯ ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ในอนาคต ตอกย้ำให้ TATG เป็นบริษัทชั้นนำของคนไทย ที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากต่างประเทศ

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 และภายหลังการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ ประกอบด้วยกลุ่มศักดาสาวิตร จำนวน 134.04 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 44.68% และ 33.51% ตามลำดับ กลุ่มหฤทัย 100.80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนก่อนและหลัง IPO 33.60% และ 25.20% ตามลำดับ กลุ่มเหล่าสินชัย 37.20 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนก่อนและหลัง IPO 12.40% และ 9.30% ตามลำดับ และกลุ่มพนักงาน 27.96 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนก่อนและหลัง IPO 9.32% และ 6.99% ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

ในด้านผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,340.11 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 45.87 ล้านบาท ในขณะที่งวดปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมและกำไรสุทธิเท่ากับ 3,002.91 ล้านบาท และ 47.86 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสเท่ากับ 89.27 ล้านบาท

ทิศทางรายได้ของบริษัทฯ มีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ ทยอยกลับมาทำการตลาดเพื่อวางแผนสำหรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากขึ้น อีกทั้ง กลุ่มบริษัทฯ ได้วางแผนและเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และแม่พิมพ์โลหะ ซึ่งรวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่จะสนับสนุนให้ TATG สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top