นายพรสิทธิ์ ภูวนากิจจากร ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital ผู้บริหารกองทุน Global Venture Capital ในเครือ PrimeStreet Group เปิดเผยว่า ล่าสุดภาพรวมเศรษฐกิจโลกแม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2567 ต่อเนื่องปี 2568 เศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ราว 3.2%
โดยมีแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐที่มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75% – 5.00% ต่อปีในการประชุมเดือนกันยายน 2567 และมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อในช่วงที่เหลือของปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลงสู่เป้าหมายที่ 2% นอกจากนี้ ธนาคารกลางประเทศผู้นำระดับโลกอื่นๆต่างก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การขยายตัวของเศรษฐกิจของจีนที่ช้าลง รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งยังคงมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้น
ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นกระจายพอร์ตลงในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง และราคาสินทรัพย์มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) อาทิ หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์อย่าง Private Equity (PE) และ Venture Capital (VC) ซึ่งกิจการนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพ มีกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา, ลาตินอเมริกา, ยุโรป รวมถึงเอเชีย สามารถกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นได้ จากตัวเลขสถิติย้อนหลัง 25 ปี ของ Cambridge Associates พบว่า สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 23.1% ต่อปี และมีความผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์หลายประเภท
ด้านนายศุภวัฒก์ ชลวณิช หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital กล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่ PrimeStreet Capital ได้เปิดตัวกองทุน Global Venture Capital กองแรกในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนมาใช้ชื่อ PrimeStreet Impact Fund 1 (PSI-1) เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนระยะยาวนั้น PrimeStreet Capital ได้เฟ้นหากิจการหรือบริษัทที่มีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูง ภายใต้ 4 ธีมเมกะเทรนด์
ประกอบด้วย 1. Healthcare and Wellness, 2. Society and Lifestyle, 3. Environment and Resource และ 4. Impact Technology & Web 3.0 ด้วยกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก “Active Approach” เพื่อเข้าสนับสนุนช่วยเหลือด้านต่างๆแก่บริษัทร่วมลงทุน เช่น ด้านกลยุทธ์องค์กร, การดำเนินงาน และการจัดการทางการเงิน ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ “Inside Out – Outside In” เพื่อพัฒนาต่อยอดนำเทคโนโลยีสำคัญใหม่ ๆ กลับมาสร้าง New S-Curve ให้กับกิจการ หรือภาคธุรกิจภายในประเทศ อันจะไปนำสู่การยกระดับศักยภาพ Ecosystem ของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ล่าสุดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) กองทุน Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 หรือราว 2 ปีเศษ ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า คิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR 132% ตามการเติบโตแบบก้าวกระโดดของกิจการบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย IRR ของภาพรวม Venture Capital อายุ 3 ปี ที่อยู่ราว 20.2% (ข้อมูลรายงานผลดำเนินงานของ Pitchbook Global Fund)
ขณะที่ นายวิฤทธิ์ วิจิตรวาทการ อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital เปิดเผยว่า ขณะนี้ PrimeStreet Group เข้าสู่ช่วงการดำเนินงานเฟส 2 “Outside In” ด้วยการนำเทคโนโลยีระดับโลก กลับมาต่อยอดภาคธุรกิจ ผลักดันประเทศไทยก้าวสู่การสร้าง New Economy ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งโปรเจ็คแรกอยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเป็นฐานการผลิต และจัดจำหน่ายยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS (Amyotrophic lateral sclerosis) เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย
หลัง “Novel Innate Autoimmune Therapy” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) ที่ศึกษาแนวทางการรักษาโรคทางระบบประสาทเสื่อม (Neurodegenerative Disease) อาทิ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง, อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน เป็นต้น เตรียมยื่นขออนุมัติขึ้นทะเบียนยาใหม่ในเชิงพาณิชย์ จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration) ภายในเดือนกันยายนนี้ ก่อนเตรียมแผนเดินหน้าระดมทุน Series A มูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569
“เป้าหมายของกองทุน Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital คือการเร่งให้เทคโนโลยีที่สร้างความยั่งยืนในระยะยาวได้รับการสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเรามีความตั้งใจที่จะพานักลงทุนไทยให้ได้มีโอกาสสัมผัสและเข้าถึงการลงทุนใน top-tier global startups และสร้าง New Economy ให้กับประเทศไทย เชื่อว่าในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) จะเติบโตแตะ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายศุภวัฒก์ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน PrimeStreet Capital มีกองทุนภายใต้การดูแล คือ กองทุน RPVAF-1 ซึ่งเป็นกองทุน Global VC โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ที่ 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในสตาร์ทอัพที่สอดรับกับเมกะเทรนด์ มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราสูง มีความสามารถในการแก้ปัญหาและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร สุขภาพและการดูแลสุขภาพ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต และเทคโนโลยีที่นำไปสู่การปฏิรูปเพื่อยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจโลกให้ดียิ่งขึ้น (เตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น กองทุน PrimeStreet Impact Fund 1 (PSI-1)
นอกจากนี้ล่าสุด PrimeStreet Capital ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) ร่วมบริหารการลงทุนกองทุนพลังงาน (Clean Energy & Energy Efficiency) มูลค่ากองทุนประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ Photon Power บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ Photon Group จากประเทศญี่ปุ่น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ย. 67)
Tags: PrimeStreet Capital, กองทุน, พรสิทธิ์ ภูวนากิจจากร, ศุภวัฒก์ ชลวณิช, เศรษฐกิจโลก