ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ประเทศไทยเผชิญการขาดดุลการค้า 2 ปี ติดต่อกันในปี 2565-2566 โดยปัจจัยหลักมาจากการนำเข้าพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่การส่งออกไทยหดตัวในปี 2566 ทั้งนี้ประเมินว่า ในปี 2567 ไทยจะยังเผชิญการขาดดุลการค้าเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.67) ไทยขาดดุลไปแล้ว 6,616 ล้านดอลลาร์ฯ (-23%YoY) จากปัจจัยต่อไปนี้
1. ไทยเป็นผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ โดยไทยจะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นราว 4,000 ล้านดอลลาร์ฯ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นทุก 10 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ สำหรับปี 2567 ไทยยังขาดดุลการค้า เนื่องจากราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง แม้ได้ปรับลงจากปี 2565 ที่ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้น
2. ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง เมื่อพิจารณาสินค้าที่มีดุลการค้ามากที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2566 พบว่าสินค้าสำคัญหลายตัว มีแนวโน้มที่จะได้ดุลการค้าลดลง เนื่องจาก
– ความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลกลดลง เนื่องจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ Hard Disk Drive ที่ในอนาคตจะมีการเข้ามาแทนที่ของ Solid State Drive ซึ่งไทยไม่ได้เป็นฐานการผลิต นอกจากนี้ ความต้องการใช้รถยนต์สันดาป ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตนั้นลดลง โดยตลาดมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และไฮบริดมากขึ้น
– การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยไทยมีการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าและความซับซ้อนไม่มากนัก อย่างสินค้าเกษตรที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันด้านราคา ประกอบกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าของประเทศคู่แข่ง อาทิ ข้าว ทุเรียน และยางพารา ที่มีตลาดอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด
3. ทิศทางการค้าโลกที่เปลี่ยนไป นับตั้งแต่หลังสงครามการค้าในปี 2561
– ไทยมีแนวโน้มที่จะขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น จากการนำเข้าเครื่องจักร และสินค้าทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกจากจีนก็เพิ่มขึ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า และของเบ็ดเตล็ด ขณะที่การส่งออกสินค้าขั้นกลางไปจีนลดลง เช่น เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ เนื่องจากจีนสามารถผลิตได้เองจากข้อได้เปรียบด้านต้นทุน (Economy of scale) นอกจากนี้ สินค้าเกษตร ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกจากไทยไปจีนสูง อาทิ ทุเรียน ผลผลิตเผชิญความผันผวนจากสภาพอากาศ
– ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มีแนวโน้มเกินดุลเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยกับปริมาณการขาดดุลการค้ากับจีน โดยไทยได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่มีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด หรือการอุดหนุน (AD/CVD) อาทิ โซลาร์เซลล์ และยางล้อ ซึ่งกดดันการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ขณะที่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของไทยยังมีจำกัด
– การได้ดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าหลักอื่น ๆ มีแนวโน้มชะลอลง จากการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจีนในประเทศคู่ค้าของไทยมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลีย รวมถึงการที่ไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น อาทิ เวียดนาม เนื่องจากเป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญมากขึ้น
“การขาดดุลการค้าไทย ยังมีแนวโน้มต่อเนื่อง จากโครงสร้างการนำเข้าของไทย ยังต้องพึ่งพาพลังงาน และสินค้าทุนที่มีมูลค่าสูง รวมถึงสินค้าจีนราคาถูกที่เข้ามาตีตลาด อย่างไรก็ตาม ไทยสามารถลดการขาดดุลการค้าได้ หากมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือไฮบริดมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะช่วยลดการนำเข้าพลังงานของไทยได้” เอกสารเผยแพร่ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 67)
Tags: ขาดดุลการค้า, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เศรษฐกิจไทย