นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ อภิปรายชี้แจงถึงนโยบายรัฐบาลว่า การที่รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาการทำสงครามการค้านั้นถือว่าโชคดี เพราะไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามการค้าก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเป็นโอกาสของไทยเพราะทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างมองไทยเป็นเพื่อน ขณะที่การลงทุนเริ่มไหลเข้ามา ซึ่งปีที่ผ่านมา มีการลงทุนในกิจการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท และเชื่อว่าภายในไม่อีกกี่ปี จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรม PCB มูลค่าหลายแสนล้านถึงล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมแผงวงจรไฟฟ้าต่าง ๆ เข้ามาผลิตในไทย
สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมีพลังงานที่มากเพียงพอ และมีเสถียรภาพมั่นคง ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานน้ำ เชื่อว่าอีกไม่นานเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ให้สามารถมาลงทุนได้
“เราอยากเห็นประเทศจีนรักเรา อยากเห็นประเทศอเมริการักเรา เราเป็นตัวกลาง ก็จะสามารถพัฒนาประเทศได้ การลงทุน การค้าต่าง ๆ ก็จะไหลเข้ามา การที่ไทยเป็นที่รักของทุกคน จะทำให้ไทยได้ประโยชน์พัฒนาประเทศตอนนี้” นายพิชัย กล่าว
*ขออย่าโจมตีสินค้านำเข้าจากจีนมากเกินไป
รมว.พาณิชย์ ไม่อยากให้มีการโจมตีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากเกินไป ซึ่งทางสถานทูตจีนก็บอกกับตนว่า อย่าทำให้จีนเป็นผู้ร้าย เนื่องจากการเป็นประเทศมหาอำนาจ อยากให้ความรู้สึกคนไทยดีกับจีน จึงต้องมาคิดว่าจะมีวิธีอย่างไร
“ถ้าวันดีคืนดี จีนบอกไม่ซื้อทุเรียน อะไรเกิดขึ้น เราเสียหายเป็นแสนล้าน หรือถ้าเขาบอกว่าไม่ส่งนักท่องเที่ยวมาไทย ห้ามเที่ยว เราเสียหายเป็นหลาย ๆ แสนล้าน อยากฝากไว้ว่ามันเป็นเรื่อง sentsitive” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เรียก 28 หน่วยงาน มาหารือเพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ทางที่ดีที่สุดคือทำอย่างไรให้สินค้านำเข้าต้องได้มาตรฐานสากล และปลอดภัยกับประชาชน โดยการกำหนดมาตรฐานที่ใช้กับทุกประเทศ ไม่ได้ใช้กับประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยจะมีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าได้มาตรฐานตามที่กำหนดหรือไม่ และดูแลป้องกันเรื่องการทุ่มตลาด
“สิ่งที่เราทำควรมีมาตรฐาน และเจรจากับเขาดี ๆ ผมได้นัดคุยกับจีนหลายครั้งแล้ว คงมีการเจรจาหาทางร่วมมือกัน คงเป็นลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากกว่า ระหว่างไทยกับจีน รักษาน้ำใจกัน และดูว่าปริมาณอะไรที่มากเกินไป ก็ขอให้ลดลง เพื่อที่จะรักษาอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของประเทศเรา” นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าขยายการเจรจาเขตการค้าเสรี และเจรจากับอินเดีย เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย
ส่วนการดูแลสินค้าเกษตรนั้น กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเชิงรุก โดยคำนวณและคาดคะเนล่วงหน้าในแต่ละเดือน ว่ามีผลผลิตสินค้าใดออกมาบ้าง และมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นตามที่ต้องการ ส่งผลให้สินค้าหลัก ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพาราราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิราคาสูงสุดในรอบ 5 ปี ข้าวเจ้าราคาสูงสุดในรอบ 20 ปี เป็นต้น และราคาสินค้ารอง ไม่ว่าจะเป็น สับปะรด กระเทียม หอมแดง ผลไม้ต่าง ๆ ก็มีราคาสูงขึ้นกว่าทุกปี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ก.ย. 67)
Tags: กระทรวงพาณิชย์, พิชัย นริพทะพันธุ์, สงครามการค้า