SEI เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 3.10 บาท P/E 19.64 เท่า เปิดจอง 16-18 ก.ย.เทรดภายใน ก.ย.

บมจ.เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3.10 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ระยะเวลาการเสนอขายวันที่ 16-18 กันยายน 2567 โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจ สินค้าอุปโภคบริโภค ภายในเดือน ก.ย.นี้ โดยมี บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินพร้อมแต่งตั้ง บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ประเมินราคาตามวิธีเปรียบเทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่สามารถอ้างอิงได้ (Market Comparable Approach) โดยพิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (Price to Earnings Ratio: P/E) และสภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเป็นราคาที่จะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ และยังมีความต้องการซื้อหุ้นเหลืออยู่มากพอในระดับที่คาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพในตลาดรอง

ทั้งนี้ ราคาเสนอขาย 3.10 บาทต่อหุ้น โดยหากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 3/66 ถึงไตรมาส 2/67) ซึ่งเท่ากับ 26.83 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 170,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.16 บาทต่อหุ้น และคิดเป็น P/E ประมาณ 19.64 เท่า

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาเสนอขายครั้งนี้ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานย้อนทั้งหลัง 4 ไตรมาสที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเห็นได้จากการกลับมาใช้บริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจของ SEI ที่ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพ อาทิ ธุรกิจความงาม ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร

SEI ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ รวมถึงเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน เช่น ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการสั่งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในการขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ประเภทวัสดุสิ้นเปลือง เป็นต้น และ โครงการร่วมลงทุนกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์ที่เกี่ยวเนื่องกัน อาจรวมถึงคลินิกหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง

นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SEI เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญของ SEI สู่โอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยศักยภาพความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้ SEI มีฐานลูกค้าทั่วประเทศจนได้รับความไว้วางใจในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตและได้รับการต่ออายุสัญญาแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Agreement) จากผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี ผ่าน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกช่วงเวลาของชีวิต

ประกอบด้วย 1. กลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด (Neonatal Care) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ดูแลทารกแรกเกิดปกติ และทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤตในระยะแรกหลังคลอด 2.กลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ (Endoscope) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องส่องกล้องสำหรับการตรวจทางเดินอาหารทางเดินหายใจและโสตศอนาสิก 3. กลุ่มสินค้าด้านการผ่าตัด (Surgery) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด 4. กลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (Laboratory) เป็นกลุ่มเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ วัดอนุภาค เก็บรักษาตัวอย่าง และบ่มเพาะเชื้อเพื่อการทำวิจัย และ 5. กลุ่มสินค้าด้านความงาม (Aesthetic) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเสริมความงามทางร่างกาย

ปัจจุบัน SEI เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 18 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้ารัฐบาล อาทิ โรงพยาบาลรัฐ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษาแพทย์ และอื่นๆ 69.5% และเอกชนอีก 30.5% อาทิ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ลูกค้ารายบุคคล และอื่นๆ ซึ่งการเติบโตดังกล่าว สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่มีคาดว่าในปี 67 จะขยายตัวต่อเนื่อง

ผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (64-66) บริษัทฯ มีรายได้รวม 378.21 ล้านบาท 322.64 ล้านบาท และ 394.41 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิ 16.21 ล้านบาท 17.86 ล้านบาท และ 21.87 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.28%, 5.54% และ 5.55% ของรายได้รวม ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top