HILITE: OSP ร่วง 6.25% เก็งบุ๊กขาดทุนขายธุรกิจแก้วในเมียนมา 700-800 ลบ.ใน Q3/67

OSP ร่วง 6.25% มาที่ 21.00 บาท ลดลง 1.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 208.28 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.20 น. จากราคาเปิด 21.50 บาท ราคาสูงสุด 21.50 บาท ราคาต่ำสุด 20.50 บาท

บมจ.โอสถสภา (OSP) เตรียมขายเงินลงทุนใน MGE Group คือ บริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น อีเกิ้ล จำกัด (MGE) และบริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น กลาส จำกัด (MGG) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าที่บริษัทย่อยของ OSP ถือหุ้น 35% และ 51.84% ตามลำดับ โดย MGE Group ดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้ว (OEM) ในประเทศเมียนมา โดยขายให้บริษัท Marlarmyaing Public Company Limited มูลค่ารายการ: ประมาณ 50,000 ล้านเมียนมาร์จัต

ทั้งนี้ ให้บริษัทย่อยเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไขบังคับก่อนในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 โดยจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขผูกพันภายใต้สัญญาดังกล่าวรวมทั้งการรับชำระเงินเพื่อให้ธุรกรรมมีผลเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในปี 67 ปัจจุบันเงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าเงินลงทุนคงเหลือประมาณ 136 ล้านบาท และบริษัทย่อยที่ OSP ถือหุ้น 100% มีภาระค้ำประกันเงินกู้ให้ MGE Group เป็นจำนวนประมาณ 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 15,558 ล้านเมียนมาจัต

เงื่อนไขบังคับก่อนที่สำคัญก่อนทำกรายการ คือ 1. MGE Group จะไม่มีภาระผูกพันจากการกู้ยืม (Debt-free) ณ วันโอนหุ้น

2. การจำหน่ายได้รับอนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

การขายหุ้นใน MGE Group ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์การปรับโครงสร้างทางธุรกิจที่มุ่งสร้างความแข็งแรงและขยายการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก (Core businesses) ควบคู่กับการพิจารณาผลการดำเนินงาน และการขายเงินลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก รวมถึงธุรกิจที่บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นน้อยหรือไม่มีอำนาจควบคุม ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศเมียนมา และการดำเนินงานของธุรกิจหลัก ทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน หรือสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของ OSP แต่อย่างใด

บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และเพิ่มอัตรากำไรจากธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวและสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโต 5 ปีของ OSP

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การที่ OSP เตรียมขายเงินลงทุนในธุรกิจแก้วที่เมียนมา ระยะสั้นอาจรับรู้ขาดทุนราว 700-800 ล้านบาทเข้ามาในไตรมาส 3/67 ส่วนธุรกิจหลักอย่างโรงงานผลิตเครื่องดื่มในเมียนมา ซึ่งสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทได้ดียังอยู่และดำเนินงานปกติ

ส่วนระยะยาวยังมองบวกต่อปี 68 หลังขายธุรกิจที่เป็น Non-core business และไม่ทำกำไรออกไป คาดกำไรสุทธิปี 67 อาจเหลือเพียง 2.1 พันล้านบาท กลายเป็น -13% y-y ส่วนกำไรปกติปี 67 ยังคาดไว้ตามเดิมที่ 2.9 พันลบ. +36% y-y ยังคงราคาเป้าหมาย 28 บาท แนะนำ “ซื้อ” รอการฟื้นตัวปีหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 67)

Tags: ,
Back to Top