เอกชนหนุนแจกเงินสดกลุ่มเปราะบาง เสนอโครงการคูณ 2 กระตุ้นกำลังซื้อ

ภาคเอกชน ประกอบด้วย สภาหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย-จีน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย เข้าหารือร่วมกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง พร้อมด้วย รมช.คลัง และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอแนะถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยควรช่วยเหลือประชาชนใน 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มเปราะบาง ควรจะแจกเงินเป็นเงินสดทันที ผ่านแพลตฟอร์มของรัฐบาลที่มีอยู่

2. กลุ่มที่กำลังซื้อ ทางสภาหอการค้าไทยเสนอโครงการคูณ 2 เช่น ประชาชนซื้อสินค้าราคา 100 บาท จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีก 100 บาท

3. กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยวิธีการเมื่อซื้อสินค้าแล้วสามารถนำไปลดภาษีได้ (Easy e-Receipt) จะทำให้เงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้รวดเร็ว

สำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า คงต้องรอนายกรัฐมนตรีแถลงข้อสรุปเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ที่เรามีความเห็นตรงกัน คือรัฐบาลต้องประชาสัมพันธ์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบแนวทางการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะไปในทิศทางใด

สำหรับเรื่องลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เช่น ค่าไฟฟ้า หรือสินค้าที่มีความจำเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน ทางภาคเอกชนจะช่วยในการตรึงราคาไว้ รวมถึงได้มีการพูดคุยเรื่องสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่มาตีตลาดในเมืองไทย ทำให้ SME เดือดร้อน ได้มีข้อเสนอว่า สินค้ากลุ่มไหนที่ควรทำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ซึ่งไม่ได้เป็นการกีดกันทางการค้า แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรม รวมถึงได้มีการพูดถึงเรื่องกลยุทธ์การวางแผนระยะยาวในการใช้เทคโนโลยี เพื่อเป็นการนำเข้าอุตสาหกรรมไฮเทคให้เร็วที่สุด

นายสนั่น กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีได้มีการตอบรับเป็นอย่างดี และแสดงถึงความตั้งใจที่เข้ามาทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและวางแผนร่วมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้

ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีข้อเสนอ ประกอบด้วย

*มาตรการเร่งด่วน 5 ข้อ

1. เสนอการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ทะลักเข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้โรงงาน SME ประสบปัญหาหนักมาก และจากม.ค.-มิ.ย. 67 มีโรงงานปิดตัวไปแล้ว 667 แห่ง ขณะที่อุตสาหกรรมใหม่ที่เข้ามาเป็นโรงงานขนาดใหญ่ของต่างชาติเกือบหมด โดยอยากให้รัฐบาลมีมาตรการแก้ไขและป้องกันสินค้าจากต่างประเทศไหลทะลักเข้ามา และอยากให้รัฐบาลเพิ่มอุปกรณ์ในการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ให้เพียงพอ และกำกับดูแล บังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มข้น และอยู่ในกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศ

2. ฝากรัฐบาลช่วยดูแลต้นทุนของ SME โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟ ค่าพลังงาน ซึ่งอยากให้รัฐบาลมีการตั้งกรอ.พลังงาน มาช่วยกำกับดูแลให้เกิดความสมดุลระหว่างพลังงานในระบบเดิม กับพลังงานหมุนเวียนในราคาที่เหมาะสม ใช้เทคโนโลยีทำให้เอกชนสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี

3. เรื่องต้นทุนแรงงาน โดยปัจจุบัน SME อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านและอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงอาจพิจารณาชะลอการขึ้นค่าแรงให้เหมาะสม แต่หากมีการปรับขึ้นค่าแรงทางสภาอุตสาหกรรมไม่ได้คัดค้าน แต่อยากให้ผ่านกลไกไตรภาคี พร้อมกับฝากให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มากขึ้น

4. เรื่องโลจิสติกส์และการค้าตามแนวชายแดน อยากให้รัฐบาลมีการปรับปรุงด่านชั่วคราวให้เป็นด่านถาวรทั้งหมด รวมถึง การขยายเวลารถบรรทุกให้เหมาะสม

5. ปัญหา SME โดยเสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน SME ไปสู่การใช้ดิจิทัล และเอไอมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน และ SME ต้องมีนวัตกรรม โดยเสนอให้ภาครัฐมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนด้านนวัตกรรม และต้องผลักดันให้ SME ไปทั่วโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมเข้าสู่ซัพพลายเชน ของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ

*มาตรการระยะกลาง และระยะยาว 3 ข้อ

– มาตรการระยะกลาง ฝากให้รัฐบาลช่วยเรื่องการส่งเสริมสินค้า Made in Thailand โดยให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในโครงการนี้ เพื่อให้มีใบรับรองตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ในปี 66 สินค้า Made in Thailand เข้าไปอยู่ในสัดส่วนแบ่งการตลาดในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแล้ว 1.02 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าจะขยับส่วนแบ่งตลาดไปถึง 80% งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างจะอยู่ในประเทศ อย่างน้อย 5.5 แสนล้านบาท จะช่วยทำให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และได้นำเสนอให้เอกชนไทยซื้อสินค้า Made in Thailand มากขึ้น และสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

– มาตรการระยะยาว มีข้อเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โดยอยากให้รัฐบาลมีมาตรการในการรักษา และสนับสนุนซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็น SME จำนวนมาก รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือซอฟพาวเวอร์ โดยมีไอเดียต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางจิวเวลรี่ เครื่องประดับของโลก เพื่อแทนประเทศฮ่องกงที่เริ่มถดถอย ซึ่งคาดว่าจิวเวลรี่จะช่วยให้ไทยมีมูลค่าปีละไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท

– เสนอรัฐบาลปรับปรุงกฏหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ข้อเสนอของภาคเอกชน เช่น เรื่องของกฎหมายถือเป็นประเด็นที่สำคัญ กฎหมายบางอย่างใช้มาแล้ว 30 กว่าปี ไม่เหมาะสมต่อสภาวะปัจจุบัน หากผ่านกระบวนการต่าง ๆ และได้เข้าไปทำงาน จะเร่งเข้าไปบริหารจัดการ หากผ่านกระบวนการและตั้งคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว จะหาเจ้าภาพที่จะมาคุยในแต่ละหัวข้อหรือประเด็นที่ภาคเอกชนเสนอในวันนี้ และประสานงานต่อด้วยตัวเอง รวมทั้งจะติดตามงานด้วย

นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลนี้จะต้องทำงานกับใกล้ชิดกับภาคเอกชน เพราะเครื่องจักรที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจคือภาคเอกชน โดยข้อเสนอของภาคเอกชนในวันนี้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และมีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเรื่องนี้

สำหรับปัญหาสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าไทย นายพิชัย ชุณหวชิระ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า เป็นปัญหาที่รัฐบาลมองเห็น และต้องดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ โดยอาจต้องรักษาสมดุลการค้าการลงทุนของไทยและจีน รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่น ๆ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ส.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top